เป็นข่าวไปทั่วโลกของวงการประมง เมื่อตลาด "ทสึคิจิ” ในกรุงโตเกียว เปิดประมูลรปลาทูน่าครีบน้ำเงินขนาดใหญ่โดยเคาะประมูลสู้กันจนจบลงที่ราคา 155.4 ล้านเยนหรือราคา 1.09 ล้านปอนด์สเตอร์ลิงก์ หรือคิดเป็นเงินไทาย 54 ล้านบาท ซึ่งนับว่าสูงเป็นสามเท่าของราคาที่ประมูลสูงสุดของปีที่แล้ว
ปลาทูน่าครีบน้ำเงินตัวนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการจัดมาคือน้ำหนักตัวอยู่ที่ 222 กิโลกรัม จับได้ที่ทะเลเมืองโอมะ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่น
ใครที่เคยลิ้มรสปลาชนิดนี้คงทราบดีว่า ส่วนที่โอชะที่สุดคือส่วนพื้นท้องที่อุดมไปด้วยไขมันที่แทรกเป็นเส้นสีขาวระหว่างเนื้อสีชมพูอ่อนที่เรียกกันว่า "โอโตโระ” ด้วยทั้งรสชาติและกลิ่นอายที่สุดพิเศษ และเป็นส่วนที่มีน้ำหนักไม่ถึง10เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวทั้งหมด ซึ่งเมื่อนำมาแล่เป็นชิ้นที่มีความหนาได้สัดส่วนกับความกว้างและยาว ในขนาดน้ำหนักชิ้นละประมาณ 1 ออนซ์ หรือประมาณชิ้นละ 30 กรัม เมื่อนำมาเข้าชุด "ซาชิมิ”หรือ"ปลาดิบ" ซึ่งเป็นจานที่ขึ้นชื่อของอาหารญี่ปุ่น และสามารถสั่งกินได้ตาม "สุชิ บาร์” จะตกอยู่ที่ราคาชิ้นละ 2,000 เยน หรือประมาณ 14 ปอนด์ต่อชิ้นทีเดียว
คิโยชิ ติมูระ ประธานของบริษัทคิโยมูระ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ดำเนินกิจการภัตตาคารในชื่อ”ซูชิ ซันไม”และเป็นผู้ที่ชนะการประมูลได้ครอบครบปลาทูน่าครีบน้ำเงินตัวยักษ์ตัวนี้ ซึ่งเมื่อปีที่แล้วเขาก็เป็นผู้ชนะการประมูลปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่ตลาดทสึคิจิในราคา 56.49 ล้านเยน คิโยชิกล่าวถึงปลาทูน่ายักษ์ที่เขาประมูลได้ในปีนี้ว่า" ราคาของปลาตัวสูงไปนิดหน่อย” แต่ที่เขาตัดสินใจประมูลอีกครั้งเพระาต้องการให้ลูกค้าได้กินปลาทูน่าที่ดีที่สุดอีกครั้ง
สำหรับปลาทูน่าครีบน้ำเงินตัวนี้ คิโยชิ วางแผนไว้ว่าจะนำปลาตัวนี้มาแล่และส่งไปตามภัตตาคารในเครือข่ายของเขา เพื่อให้ลูกค้านักชิม "โอโตโระ” ได้ลิ้มรสกันในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ แต่สนนราคาของเมนูพิเศษนั้นยังไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นเลย
ชาวญี่ปุ่นคือผู้ที่บริโภคปลาชนิดนี้ในสัดส่วนที่มากที่สุด ถึงร้อยละแปดสิบของปลาที่จับได้ในแต่ละปี ซึ่งปลาชนิดนี้ไม่ว่าจะถูกจับได้ที่ใด จะต้องถูกนำส่งมาให้ประมูลกันที่ญี่ปุ่นเป็นแห่งแรกเมื่อสามารถทำได้
อย่างไรก็ดี นักอนุรักษ์จากตะวันตกพากันเรียกร้องให้มีการจำกัดสัมปทานการล่าปลาชนิดนี้ให้ลดน้อยลงทั้งสามเขตน่านน้ำ คือทั้งมหาสมุทรแปซิฟิค แอตแลนติค และในส่วนของขั้วโลกใต้อันเป็นแหล่งทางทะเลที่ปลาชนิดนี้อาศัยอยู่
แต่ตรงกันข้ามกับการนิยมบริโภคในปลาชนิดนี้กลับสวนทางกับความต้องการของนักอนุรักษ์ เพราะปลาชนิดนี้นั้น เมื่อใครได้บริโภคเข้าสักครั้งก็จะติดใจในรสชาติของความอร่อย และจนต้องเปลี่ยนใจยอมจ่ายเงินแพงเพื่อให้ได้ลิ้มลองอีกสักครั้ง
อีกทั้งยังเป็นอาหารจานสุดยอดที่อัครมหาเศรษฐีเกือบทั่วทั้งโลกนิยมสั่งมาเป็นอาหารไว้เลี้ยงแขกเหรื่อคนสำคัญ จึงทำให้จำนวนของปลาชนิดนี้มีราคาสูงขึ้นทุกปี เช่นเดียวกับ "หูฉลาม” “หอยเป๋าฮื้อ”และอาหารอื่นๆที่เศรษฐีนิยมกินกัน
