xs
xsm
sm
md
lg

เยือนบ้านของ “หลา วิชุดา” แห่งแบรนด์ Duly และคู่ชีวิต “เต้ย-ดุลยนาท เพชรชาติ” ครั้งแรกที่นี่!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>ถ้าพูดถึงร้านเสื้อเชิ้ตคุณภาพเยี่ยมสไตล์อังกฤษในประเทศไทย ร้านแรกๆ ที่เรานึกถึงก็คงไม่พ้นร้าน “ดูลี่” (Duly) ซึ่งเป็นแบรนด์ไทยแท้ที่บุกเบิกร้านเชิ้ตสำหรับผู้ชายโดยเฉพาะ ไม่แปลกถ้าหลายคนยังเข้าใจผิดว่าเป็นแบรนด์จากเมืองนอก เพราะการเลือกใช้วัตถุดิบผ้าคุณภาพดีจากอังกฤษและอิตาลี และฝีมือการตัดเย็บที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด ทั้งยังการบริการที่น่าประทับใจ ทำให้ทุกวันนี้มีลูกค้าประจำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้ คือผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ซึ่งความสามารถของเธอไม่ได้เล็กตามไปด้วย

“วิชุดา เพชรชาติ” หรือ “คุณหลา” เปิดบ้านย่านทองหล่อ พูดคุยกับเราถึงธุรกิจแบรนด์ดูลี่ที่กำลังขยับขยายและไปได้สวย พร้อมเปิดใจอย่างเป็นกันเองร่วมกับสามี “คุณเต้ย-ดุลยนาท เพชรชาติ” ถึงเรื่องราวครอบครัวสุขสันต์ โดยมีลูกสาวคนเดียว “น้องนาล่า-ณลาดา เพชรชาติ” วิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆ
จะว่าไปแล้วชีวิตของเธอไม่ได้มุ่งตรงมาทางด้านค้าขายทำธุรกิจเลยทีเดียว เพราะคุณหลาเรียนจบปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่อาจจะเป็นเพราะได้รับการซึมซับจากที่ได้เห็นครอบครัวตั้งแต่รุ่นคุณตาจนถึงรุ่นคุณแม่ ที่ทำธุรกิจค้าขาย งานแรกที่เธอทำจึงเป็นงานด้านการตลาดที่บริษัทเคเบิลทีวีชื่อดัง ก่อนที่จะตัดสินใจไปเรียนต่อด้านการตลาดอย่างเป็นเรื่องเป็นราวที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อกลับมาเมืองไทย เธอหันไปจับงานด้านโฆษณาและประชาสัมพันธ์อยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะมาปลุกปั้นแบรนด์ของตัวเองอย่างดูลี่เมื่อ 8 ปีก่อน

ก่อร่างสร้างแบรนด์

ปัจจุบันร้านดูลี่มี 2 สาขา คือ “ดูลี่ ช็อป” (Duly Shop) ที่สุขุมวิท 49 และ “ดูลี่ บูติก” (Duly Boutique) ในโรงแรมสยามเคมปินสกี้ ซึ่งสาขาหลังเพิ่งย้ายมาจากร้านในสยามพารากอนได้ประมาณ 1 ปี ถึงแม้จะมีสาขาน้อย แต่ก็เรียกได้ว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ เพราะทุกวันนี้ลูกค้าประจำยังคงเหนียวแน่น พร้อมมีลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ที่ต้องการเชิ้ตคุณภาพดี ทั้งแบบคลาสสิกและแคชวลเข้ามาแวะเวียนอย่างสม่ำเสมอ แต่ที่สร้างความเซอร์ไพรส์ให้ผู้ปลุกปั้นอย่างคุณหลา ก็คงไม่พ้นลูกค้าชาวต่างชาติ ที่บางคนเสิร์ชอินเทอร์เน็ต แล้วอีเมลมาสั่งตัดเสื้อเชิ้ตข้ามประเทศกันเลยทีเดียว

“ล่าสุด มีลูกค้าจากสหรัฐอเมริกา เป็นฝรั่งผิวดำที่หล่อสมาร์ทมาก ทำงานในหน่วยงานของรัฐที่สหรัฐอเมริกามาหาเราที่ร้านและซื้อกลับประเทศไปหลายตัวเลย ทั้งๆ ที่เขาเป็นลูกค้าใหม่ ไม่เคยใช้บริการ แต่พนักงานของเราก็สร้างความมั่นใจให้เขาได้”

ด้วยผลตอบรับที่เกินคาดจากลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะจากฝั่งยุโรปและอเมริกา ทำให้คุณหลาและหุ้นส่วนเริ่มมองถึงการขยายตลาดออกสู่ต่างประเทศบ้างแล้ว เนื่องจากมีศักยภาพที่ดี ช่างไทยมีฝีมือและค่าแรงไม่สูงมาก แต่ก็เป็นการขยายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ใน 1-2 ปีนี้เราอาจจะได้เห็นแบรนด์ไทยแบรนด์นี้โกอินเตอร์กับเขาบ้าง

“การทำตลาดในต่างประเทศมันไม่ง่าย สำคัญที่สุดคือเราต้องมีหุ้นส่วนที่ดีที่จะทำร่วมกัน ถ้าได้เจอพาร์ตเนอร์ที่ดี เราก็ยินดีเลยนะ แต่สำหรับโลเกชั่นในประเทศ เราก็ไม่ได้คิดอยากจะขยายไปไหน แต่อยากจะสร้างฐานลูกค้าให้มากขึ้นอีก ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา เราสะสมฐานลูกค้าได้ดีพอสมควร และอยากจะมาโฟกัสอยู่ที่บริการแบบตัดที่จะสร้างความพิเศษเข้าไป ตรงนี้มากกว่า ถ้าไปเน้นในเรื่องการขยายสาขา อาจทำให้เราดูแลได้ไม่ทั่วถึง เพราะเซอร์วิสของเราให้ความสำคัญกับลูกค้ามาก”

คุณหลาบอกว่า จุดเด่นของดูลี่ คือ การบริการที่สมบูรณ์แบบครบวงจร สำหรับชายหนุ่มที่อยากได้เชิ้ตดีๆ สักตัว “เรามีทั้งแบบสำเร็จรูป และบริการรับตัดที่ครบและพร้อมทั้งความหลากหลายของเนื้อผ้า ชนิดของผ้า สีสัน ลวดลาย สไตล์ และออปชันต่างๆ เช่น เนกไท หูกระต่าย รองเท้า ดีเทลที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ องค์ประกอบต่างๆ ที่จะประกอบขึ้นมาให้เป็นเชิ้ตสวยๆ หนึ่งตัว อย่างปก เรามีให้เลือกมากกว่า 30 แบบ คัฟลิงก์ ข้อมือ ก็มีให้เลือกเยอะ และตอนนี้เราก็เพิ่มแบบของกระดุมให้ลูกค้าสามารถเลือกได้ 20-30 แบบเลย เราลงรายละเอียดค่อนข้างเยอะ ในแง่ของการบริการ เราก็ทำสุดๆ ถ้าตัดออกมาแล้วลูกค้าไม่แฮปปี้ และเกินกว่าที่เราจะแก้ไขให้ได้ เราตัดใหม่ให้เลยนะ”

ขณะที่แบรนด์ดูลี่กำลังไปได้สวย คุณหลาก็เปิดอีกหนึ่งไลน์ ชื่อว่า “เมนส์ คลับ” (Men's Club) ซึ่งเพิ่งแตกไลน์มาได้ประมาณ 1 ปี เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของชายหนุ่มที่อยากได้เสื้อเชิ้ตสำเร็จรูปคุณภาพดี ในราคาที่ไม่สูงมาก “เราก็เป็นเหมือนทางเลือกที่ลูกค้ายังไม่เคยมี เป็นเสื้อเชิ้ตสไตล์ทำงานที่ดีไซน์จัดหน่อย และเป็นสไตล์ญี่ปุ่น ให้นึกภาพหนุ่มญี่ปุ่นที่ทำงานในโตเกียว เขาจะแต่งตัวไม่ธรรมดา แฟชั่นหน่อยๆ เป็นเหมือนหนุ่มเริ่มต้นทำงานที่ชอบแต่งตัว แต่ยังมีความเป็นบิสซิเนสลุคอยู่ แต่เราก็จะเล่นรายละเอียดเพิ่มขึ้นมา”

ทุกวันนี้งานหลักๆ ของคุณหลา คือดูแร้านดูลี่ 2 สาขา ซึ่งก่อร่างสร้างแบรนด์มาเป็นเวลา 8 ปีแล้ว ซึ่งคุณหลาไม่ได้มองว่าดูลี่เป็นแค่ร้านขายเสื้อเชิ้ต แต่อยากให้เป็นแบรนด์หนึ่งที่สามารถอยู่ได้ยืนยาวและมั่นคงต่อไป ในส่วนของเมนส์ คลับ ตอนนี้มีถึง 4 สาขาในห้างสรรพสินค้าดัง ทั้งสยามพารากอน เซ็นทรัล ชิดลม เซ็นทรัลลาดพร้าว และเซน

จุดเริ่มต้นความรัก

ถึงจะเป็นเวิร์กกิ้งวูแมนเต็มตัว แต่สำหรับคุณหลาแล้วครอบครัวคือแรงผลักดันสำคัญ เราจึงชวนสามี “คุณเต้ย-ดุลยนาท เพชรชาติ” มาคุยถึงชีวิตอีกมุมของสาวเก่งคนนี้ เริ่มต้นกันตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกันของทั้งคู่ ซึ่งคุณเต้ยก็ขอเปิดฉากย้อนรำลึกเหตุการณ์เมื่อประมาณ 16 ปีก่อนว่า
“วันนั้นผมไปหาเพื่อนที่จุฬาฯ พอเห็นเขาก็คิดว่าน่ารักดี ประมาณว่าปิ๊งนั่นแหละ ผมพอรู้อยู่แล้วล่ะว่าเพื่อนเรารู้จักเขา พอดีเพื่อนผมหลายคนเรียนคณะเดียวกับเขา ส่วนผมตอนนั้นเรียนอยู่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ตอนนั้นผมก็ออกแนวรวบรัดเลยนะ ไม่อยากให้เสียเวลามาก ไปขอเบอร์จากเพื่อนเขาแล้วโทรศัพท์ไปหาเลย เราก็ใช้วิธีคุยเป็นเพื่อนให้เขารู้สึกว่ามีเพื่อนใหม่อีกคนหนึ่งที่น่าคบ เขาจะได้ไม่ต้องระวังตัวมาก ถ้าเราตั้งใจไปจีบเลย เดี๋ยวเขาระวังตัวมากไป กลัวจะจีบไม่ติด สมัยนั้นเขาฮอตหรือเปล่าไม่รู้นะ แต่มีเพื่อนพูดถึงหลายคนเลย (ยิ้ม)”

อาจจะเรียกได้ว่าคุณเต้ยปิ๊งคุณหลาตั้งแต่แรกพบ ในขณะที่ความประทับใจนั้นกลับไม่ได้อยู่ที่หน้าตาหรือภาพลักษณ์ภายนอก แต่เป็นนิสัยเป็นธรรมชาติของฝ่ายหญิงมากกว่าที่ทำให้ประทับใจ “พอได้คุยจริงๆ เขาไม่เหมือนภาพที่เราเห็นครั้งแรก เป็นอีกแบบเลย แต่ก็เป็นตัวเขาในแบบที่เหมาะกับเขา หน้าเขาจะดูหวานๆ แต่นิสัยจริงๆ ก็ไม่หวาน เป็นคนตรงๆ ง่ายๆ ธรรมชาติ ซึ่งผมก็ไม่ชอบผู้หญิงจ๋ามากๆ นะ อย่างผู้หญิงบางคนที่เราเคยไปทำความรู้จัก ก็ชอบทำอะไรที่ตั้งใจให้ตัวเองดูดีมากเกินไป ผู้ชายก็จะรู้สึกว่ามันไม่ธรรมชาติ ผมชอบเขาก็ตรงที่ไม่มีจริตจะก้านมากนี่แหละ ประทับใจตรงนี้”

ส่วนนิสัยที่ไปกันได้ของทั้งสองคนคือชอบอะไรเหมือนๆ กัน “นิสัยเราตรงกันหลายอย่างเหมือนกันนะ คือ เราทั้งสองคนมีเพื่อนเยอะก็จริง แต่ก็ไม่ได้ติดเพื่อน เราชอบใช้เวลาทำอะไรกันสองคนหรือกับลูกมากกว่า อย่างบางคนที่เรารู้จัก เวลาผู้ชายติดเพื่อน แต่ผู้หญิงไม่ติด มันก็จะอึดอัด”
ด้านคุณหลาก็ช่วยเสริมว่า “เราสองคน เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง บางคนชอบแฮงเอาต์กันเป็นกลุ่ม แต่พี่กับพี่เต้ยเป็นคนเฉยๆ ออกไปเจอเพื่อนได้ แต่ทั้งคู่ไม่ได้เป็นคนติดเพื่อน บางคนไปเที่ยวจะชอบนัดกันไปเป็นกลุ่ม แต่พี่ชอบอิสระ ชอบอยู่ส่วนตัว บางทีชอบอยู่คนเดียวซะด้วยซ้ำ ทั้งคู่ก็เป็นคนอย่างนี้ ถ้าอีกคนติดเพื่อน แต่อีกคนไม่ชอบไปกับเพื่อน มันก็คงอยู่กันลำบากนะ”

นอกจากนิสัยจะคล้ายๆ กันแล้ว คุณหลาและคุณเต้ยยังมีกิจกรรมที่ชอบทำร่วมกัน นั่นคือการหาอาหารอร่อยทานนั่นเอง พี่เต้ยเล่าว่า “พวกเราชอบกินทั้งคู่ ก็จะชอบตระเวนหาของอร่อยทาน แต่ก็มีบางอย่างที่กินไม่เหมือนกัน สมัยคบกันแรกๆ ผมก็พาเขาไปทานส้มตำ คิดว่าเนี่ย ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยต้องชอบกินส้มตำแน่ๆ แต่ปรากฏว่าเขากินไม่เป็น เราแปลกใจมาก เพราะเพื่อนผู้หญิงที่เรารู้จักชอบกินยำ ส้มตำ หรืออะไรแซบๆ กันทั้งนั้น ตอนแรกยังคิดว่าเขาแกล้งเราหรือเปล่า แต่เปล่าเลย เขาไม่กินจริงๆ แต่ตอนหลังก็ชอบกินส้มตำแล้วนะ”

ตอนที่ทั้งสองคนตกลงคบหาเป็นแฟนกัน อายุประมาณ 21 ปี ซึ่งถือว่ายังอยู่ในช่วงวัยรุ่นทั้งคู่ แต่สำหรับคุณหลาแล้ว คุณเต้ยมองว่าเธอมีความเป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คุณเต้ยชื่นชมคู่ชีวิตคนนี้ “อายุประมาณนั้นเราก็มักจะเจอผู้หญิงที่นิสัยสมวัย แต่คุณหลาเขาจะดูโตกว่าวัย มีความรับผิดชอบสูง เวลาเราทำอะไรนอกลู่นอกทางเขาก็จะคอยเตือน ซึ่งเราตอนนั้นยังอยู่ในวัยคึกคะนองนั่นแหละ เราก็รู้สึกได้เลยว่าเขาหวังดีกับเรา เหมือนพ่อแม่เรา ตอนแรกก็มีอึดอัดนะ แต่พอถึงวัยนึง เราก็คิดว่า เออนะ...ผู้หญิงคนนี้เข้าท่าทีเดียว ถ้าเรามีภรรยาแบบนี้และมีลูกกับเธอ ก็น่าจะดีไม่น้อย”

สร้างครอบครัว

หลังจากคบหาดูใจกันได้กว่า 8 ปี ก็ถึงเวลาตกลงลั่นระฆังวิวาห์เสียที แต่เราก็อดถามไม่ได้ว่าทำไมถึงใช้เวลานานกว่าที่ทั้งคู่จะได้ฤกษ์แต่งงานกัน ซึ่งคุณหลาบอกว่า

“ที่คบกันนาน อาจจะด้วยวัยมั้ง ตอนเริ่มคบกันยังเรียนอยู่แค่ปี 4 เอง อีกอย่างสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา ก็ยังไม่ค่อยมีใครแต่งงาน เราก็คบกันแบบชิลชิล เรื่อยๆ คบกันสบายใจ แบบไม่มีใครมาบังคับให้แต่ง จนเพื่อนๆ เริ่มแต่งกันนั่นแหละ เราก็เริ่มเอ๊ะ หรือเราจะแต่งกันดี ตอนที่ตัดสินใจแต่ง อายุก็ประมาณ 29 แล้ว ก็คงเป็นตัวเลขไม้ตายแล้วล่ะ (หัวเราะ)”

ด้านคุณเต้ยก็เล่าเสริมว่า “ตอนที่เขาพูดขึ้นมา ผมก็ยังตกใจ นี่ถึงเวลาเราต้องแต่งงานกันแล้วเหรอ ตอนนั้นยังสนุกกับชีวิตอยู่ ผมคิดเอาไว้ว่าอีกสัก 3-4 ปีค่อยแต่ง แต่คิดไปคิดมา พวกเราอายุเท่ากันด้วย ผู้ชายอายุ 30 กว่าค่อยแต่งงานก็คงไม่เป็นไร แต่ผู้หญิงเขาไม่คิดอย่างนี้ จริงๆ ผมไม่ได้กลัวนะ แต่ก็คิดว่าคงเป็นช่วงชีวิตที่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรใหม่ๆ พอเอาเข้าจริงก็ดีเหมือนกัน เพราะวันแรกที่แต่งงานมา เป็นความรู้สึกที่ว่า รุ่งเช้าตื่นขึ้นมาเจอเขา ก็ดีไปอีกแบบ เราไม่ได้ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว”

รักหวาน น้ำตาลน้อย

เป็นคู่รักที่เข้ากันได้ดีขนาดนี้ เราเลยนึกภาพไปว่า ทั้งคู่ต้องรักกันสวีตหวานแน่ๆ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ ทั้งคู่พูดตรงกันว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ที่มีช็อตสวีตน่ารักมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

“คู่เราไม่ค่อยหวาน ไม่ค่อยโรแมนติก เวลาทำอะไรหวานขึ้นมานิดนึง ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่มาก ซึ่งกลายเป็นเรื่องดีเหมือนกันนะ และเราก็รู้สึกดีด้วย อย่างแค่เขียนการ์ดให้กัน ก็ปลื้มแล้ว เรียกว่าหวานกำลังดีดีกว่า ขนาดฮันนีมูนก็ไม่ได้คิดกัน อารมณ์ประมาณว่าว่างเมื่อไหร่ก็ค่อยไป แต่ก็ได้ไปนะ ไปยุโรป ฝรั่งเศส อิตาลี อังกฤษ ซึ่งจริงๆ คุณหลาก็ไปติดต่อเรื่องงานด้วย” พ่อบ้านเล่าพร้อมรอยยิ้ม

ฝั่งภรรยาคนสวยช่วยยืนยันอีกแรง “ถ้าให้เล่าช็อตสวีตนี่นึกไม่ค่อยออก คือ ถ้าเขามาทำสวีตป้อนข้าวให้ พี่ก็ไม่ชอบนะ กินข้าวไม่อร่อย (หัวเราะ) ช็อตขอแต่งงานอะไรก็ไม่มี คุยกันเฉยๆ” มาถึงตรงนี้ คุณเต้ยเล่าแบบติดตลกว่า “ตอนที่คุยเรื่องแต่งงาน ก็เหมือนตอนชวนดูหนัง ชวนไปเที่ยวเลยนะ ไม่ได้หวานเลย แพลนเหมือนเวลาจะไปเที่ยวพัทยากันนั่นแหละ”

เถียงกันบ้าง...เคล็ดลับอยู่ยืด

เคล็ดลับการใช้ชีวิตคู่ของคุณหลาและคุณเต้ย เหมือนกันก็คือ ต้องรู้จักการเอาใจเขามาใส่ใจเรา อะไรที่อีกฝ่ายไม่ชอบก็อย่าทำ ซึ่งดูเป็นคู่ชีวิตที่ราบรื่นจนน่าอิจฉา เราเลยถามไปว่าเคยทะเลาะกันบ้างไหม? ก็ได้รับคำตอบที่ประหลาดใจอีกจนได้ว่า “เถียงกันบ่อยมาก”

“แปลกนะ คู่เราเป็นคู่ที่เถียงกันบ่อยมาก บางทีก็เถียงกันแรงนะ แต่ว่าหายเร็ว แต่มันเหมือนได้รบกัน บางทีก็เถียงกันจนเหนื่อยเลย ชอบเถียงกันตั้งแต่ตอนเป็นแฟนแล้ว แต่เรายังไม่ได้อยู่ด้วยกันไง แต่พอมาแต่งงานกัน เราก็เถียงกันตลอดเลย” คุณเต้ยขอพูดก่อน

ส่วนคุณหลาบอกว่า “ก็ไม่ใช่ว่าทะเลาะ แต่เถียงกันบ่อย พี่ว่าก็ดีเหมือนกัน อย่างที่บอกว่าไม่ได้มีอะไรใหญ่โต ก็กระจุ๊กกระจิ๊กไปเรื่อย เหมือนได้ระบายอารมณ์ตัวเอง ไม่มีอะไรคั่งค้าง เวลามีอะไรเราก็พูดกันเลย เพราะเป็นคนตรงๆ ทั้งคู่ และพี่ก็ไม่ค่อยงอน นิสัยจะแมนๆ หน่อย แต่จะแอบขี้โมโห บางทีเวลาไม่ถูกใจอะไร ซึ่งทางพี่เต้ยเขาก็จะเย็นกว่า บางทีเขาร้อนกว่า เราก็เย็นลงละกัน เขายอมเรามามากแล้ว หยวนๆ กันบ้าง”
และถึงจะเถียงกันบ่อย แต่ทั้งคู่ก็จะไม่เถียงให้ลูกเห็น เพราะมีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่ทำให้พ่อแม่ฉุกคิดขึ้นมาได้ ซึ่งคุณเต้ยเล่าให้เราฟังว่า “ตอนนั้นน้องนาล่าอายุแค่ 3-4 ขวบ แต่กลับพูดขึ้นว่า...ปาป๊า มาม้า เถียงกันทำไม ไม่รักกันใช่ไหม แล้วแต่งงานกันทำไม ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่ต้องแต่งงานสิ...เราก็อึ้งเลย ตกใจมาก เลยมาตกลงกันว่าทีหลังถ้าจะเถียงกัน ก็อย่าให้ลูกเห็นเด็ดขาด”

สมาชิกใหม่ของบ้าน

หลังจากแต่งงานได้ไม่นาน ทั้งคู่ก็ได้รับข่าวที่น่ายินดีไปพร้อมๆ กับการเตรียมตัวต้อนรับลูกคนแรก ซึ่งเป็นสิ่งที่เกินคาดของคนเป็นพ่ออีกเช่นกัน

“ตอนนั้นไม่ได้คุยกันด้วยว่าจะมี ก่อนแต่งยังพูดกันอยู่เลยว่า เราคงมีลูกกันไม่ง่ายมั้ง เพราะดูคนสมัยนี้มีลูกยาก เราก็จะคิดกลางๆ ไว้ก่อน แต่พอมีก็ดีใจนะ ตอนคุณหลาท้อง เวลาเขาเดินไปไหน ผมก็จะคอยมองทุกก้าวเลย กลัวเขาหกล้ม เราก็พยายามดูแลเท่าที่ทำได้ พอเขาคลอดออกมา ผมก็ช่วยเลี้ยงทุกอย่าง แม่ทำอะไรได้ ผมก็ทำได้หมด”

เมื่อได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ของบ้าน ทั้งคู่ช่วยลงความเห็นว่าถือเป็นความโชคดีของคนเป็นพ่อแม่ เพราะน้องนาล่าเป็นเด็กเลี้ยงง่าย “เขาเป็นลูกที่ดีมาก ให้พ่อแม่ได้นอน ช่วงนั้นพี่เลี้ยงหายาก เข้าๆ ออกๆ เราก็ต้องเลี้ยงกันเองซะส่วนใหญ่ แต่เหมือนเขาเกิดมาเพื่อให้พ่อแม่ทำงาน พอเขาหลับ ก็หลับรวดเดียวถึงเช้า ไม่ร้อง ไม่กวน” คุณพ่อเต้ย เล่าย้อนเหตุการณ์เมื่อเกือบ 7 ปีก่อน

ส่วนคุณแม่พูดถึงลูกน้อยตอนนั้นว่า “ตอนท้อง เวลาแพ้ท้องจะง่วง นอนอย่างเดียวเลย นอนเก่งมาก ไม่อาเจียนอะไรด้วยนะ แล้วพอลูกออกมา ลูกก็นอนเก่งเหมือนแม่เลย นอนยาวมาก ช่วงแรกๆ ที่พาเขากลับมาบ้าน เราก็ตกใจตื่น คิดว่าลูกเป็นอะไร เพราะเขาหลับยาวถึงเช้าเลย”

“ลูก” ส่วนเติมเต็มชีวิต

นอกจากจะปลื้มใจที่ลูกเลี้ยงง่ายแล้ว คุณหลายังบอกว่า ลูกนี่แหละ คือส่วนเติมเต็มให้ชีวิตสมบูรณ์ยิ่งขึ้น “มีลูกก็เหมือนมีจุดศูนย์รวมจริงๆ นะ อย่างเมื่อก่อนเวลาได้ยินคนเค้าพูดกันว่ามีลูกแล้วเป็นโซ่ทอง ไอ้เราก็ไม่เข้าใจหรอกว่าเป็นยังไง แต่พอมีจริงๆ แล้ว เป้าหมายร่วมกันของเราก็เพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง คือการเลี้ยงลูกให้ดี กิจกรรมที่ทำก็จะเป็นกิจกรรมเพื่อลูก เพื่อครอบครัว การใช้ชีวิตของเราก็ดูเต็มขึ้น เหมือนลูกมาเติมเต็มให้ชีวิตเรา เหมือนมีอะไรให้เรามองไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน อย่างแค่การค่อยๆ ดูลูกเจริญเติบโต ดูพัฒนาการของเขา มันก็ทำให้เรามีความสุขแล้ว”

และคุณหลาก็มองว่าชีวิตของเธอในตอนนี้จัดการได้พอดีในทุกเรื่องแล้ว ทั้งเรื่องหน้าที่การงานและครอบครัว “พี่อาจจะไม่ได้เป็นแม่บ้านเท่าไหร่ เรื่องความเป็นศรีภรรยาอาจจะไม่ค่อยมี แต่เรื่องความเป็นแม่นี่เราเต็มที่นะ อาจจะด้วยพี่เต้ยเป็นคนที่ดูแลตัวเองได้ดี เขามีความละเอียดอยู่แล้ว คือถ้าให้พี่ไปจัดเสื้อผ้าให้เขา เขาก็คงไม่ยอมอยู่ดี ซึ่งก็ถือเป็นโชคดีของเราไป แต่ถ้าเป็นเรื่องลูก เรื่องเสื้อผ้า การเรียน การกิน พี่ก็จะใส่ใจเต็มที่ ทุกเช้าก็ต้องตื่นขึ้นมาทำอาหารเช้าให้เขาทาน เพราะเราก็อยากให้เขากินอาหาารเช้าที่ดีที่สุด

ตอนนี้ชีวิตพี่โอเคเลยนะ ไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่านี้ ชีวิตพี่เป็นคนไม่หวือหวา ง่ายๆ ซึ่งเป็นเหมือนกันทั้งคู่ คู่เราไม่ได้ใช้ชีวิตแบบหวือหวาเต็มที่ ก็ไปเรื่อยๆ เน้นเดินทางสายกลาง บางทีงานเราก็อยากจะดูแลเอง แต่บางทีก็ต้องตัดให้ได้ ลูกเราก็โตขึ้นทุกวันๆ ถ้าเราให้เวลากับงานมาก แล้วไม่ได้ให้เวลากับเขา พี่ก็เสียดาย ต้องพยายามบาลานซ์ให้ดีที่สุด”

น้องนาล่า ลูกรักวัยใส

“น้องนาล่า-ณลาดา เพชรชาติ” สาวน้อยหน้าหวานอายุย่างเข้า 7 ขวบ ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนมาแตร์เดอี โดยน้องนาล่าแอบกระซิบกับเราว่า โตขึ้นอยากเป็นนักร้อง แถมยังร้องเพลงไทยให้เราฟัง และเต้นเพลงเกาหลีสุดฮิต “กังนัมสไตล์” ให้เราดูอีกต่างหาก มีแววซุป'ตาร์ แต่เด็กเลยทีเดียว

“เขาก็เริ่มซนบ้าง แต่ซนแบบเด็กผู้หญิง ไม่ได้โลดโผนอะไรมาก ตอนนี้ที่เขาชอบเลยคือถักไหมพรม เพื่อนๆ เขาก็สอนกันมา นาล่าก็ทำตาม นี่ก็เพิ่งไปซื้ออุปกรณ์มาถักเป็นเรื่องเป็นราว บอกว่าจะถักผ้าพันคอให้แม่ อีกอย่างที่เขาดูจะสนใจเป็นพิเศษ คือเขาชอบเต้น และเต้นสวย ดูท่าทางแล้วใช้ได้ เหมือนเขามีพรสวรรค์ เวลามีการแสดงที่โรงเรียน เขาค่อนข้างมีทักษะดีพอสมควรเลย ถ้าเขาสนุก ชอบ และทำได้ดี เราก็อยากสนับสนุน ก็อยากให้เขาเรียนบัลเลต์เป็นพื้นฐานที่ดีก่อนจะไปเรียนเต้นอย่างอื่น” คนเป็นแม่พูดถึงลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนด้วยสายตาอิ่มเอม

กิจกรรมโปรด 3 คน พ่อ แม่ ลูก

นอกจากการออกไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันแล้ว วันหยุดสบายๆ ครอบครัว “เพชรชาติ” ก็ยังชอบวิ่งกันยกบ้านอีกด้วย “ที่จริงก็เพิ่งเริ่มไม่นาน ดูจากเวลาเราไปเที่ยวต่างประเทศ แล้วไม่มีรถ เราได้เดินเยอะ แล้วมันรู้สึกดี ร่างกายมันสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ก่อนหน้านี้ก็มีวิ่งบ้าง แต่ไม่สม่ำเสมอ แต่ 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ กลับมาฟิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง และนาล่าก็จะมีเครื่องเล่นสกู๊ตเตอร์ของเขา ตามพ่อแม่ได้ พ่อแม่ก็วิ่งๆ เดินๆ เพราะเขายังขี่จักรยานไม่ค่อยเป็น พอมีสกู๊ตเตอร์ก็เริ่มสนุกขึ้น เราก็ได้ออกกำลังกายเต็มที่
อีกอย่างถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์ ก็จะเน้นออกไปหาร้านอร่อยทาน นาล่ามีเรียนพิเศษบ้าง ก็รอเขาไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม แต่ไม่ได้เยอะ เพราะมีความรู้สึกว่า อยากให้เขาใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่ นั่งเล่นเกม ดูทีวี ทำการบ้าน และพยายามไปเที่ยวต่างจังหวัด และต่างประเทศบ้าง คือตอนนี้นาล่าเริ่มโต ก็รู้สึกว่ามันเที่ยวกันได้ง่ายขึ้น สนุกขึ้น เขาเหมือนเป็นเพื่อนเราได้แล้ว หลังจากนี้คงเที่ยวได้บ่อยขึ้น”

8 เลขนำโชคของคุณหลา

ระหว่างนั่งคุยกันไปเรื่อยๆ คุณหลาก็บอกว่าชอบเลข 8 เลยสังเกตได้ว่าในชีวิตเธอมีเลข 8 มาเกี่ยวข้องบ่อยทีเดียว “พี่หลากับพี่เต้ย คบกันมา 8 ปี 8 เดือน แล้วจึงแต่งงานกัน ส่วนน้องนาล่าก็บังเอิญเกิดวันที่ 8 มกราคม ซึ่งถือว่าเป็นวันดีอีก ตอนนั้นไม่รู้หรอก กะจะคลอดเอง เพราะน้ำเดินตั้งแต่คืนวันที่ 7 ตอนเช้าวันที่ 8 ปากมดลูกก็ยังไม่เปิด แต่น้ำคร่ำมันออกมาเกือบหมดแล้ว คุณหมอเลยให้ผ่าคลอด เพราะกลัวเด็กจะเป็นอันตราย วันนั้นในโรงพยาบาลก็ค่อนข้างวุ่นวายเพราะมีคนมานัดผ่าคลอดกันเยอะเลย พอคลอดเสร็จ มาเจอพี่ที่รู้จักคนหนึ่ง ลูกสาวเขาก็เกิดวันเดียวกัน วันที่ 8 เป็นวันดี ฤกษ์ดี เด็กจะต้องเกิดก่อน 11 โมง ปรากฏว่านาล่าอุแว้ออกมาตอน 10.47 น. ก็กลายเป็นโชคดีไป”







>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net และ ติดตาม CelebStagram ได้ที่ http://www.manager.co.th/celebonline/celebstagram/
กำลังโหลดความคิดเห็น