>>คุ้นชินกันมานานกับเครื่องสำอางเกอร์แลงที่มีทั้งความหรูหรา สง่างาม ชวนเพ้อฝันให้นึกถึงบรรยากาศแห่งกรุงปารีส ซึ่งแบรนด์นี้เป็นแบรนด์ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานและน่าศึกษาเป็นอย่างยิ่งว่า...ทำไม เกอร์แลง (Guerlain) ถึงเป็นแบรนด์ชั้นสูงที่ยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน
ณ จุดเริ่ม 1828 ปิแอร์-ฟรองซัวส์-ปาสกาล เกอร์แลง ได้เปิดร้านเกอร์แลงขึ้นเป็นครั้งแรกบนถนนริโวลิ กรุงปารีส เขาได้ปรุงและผลิตน้ำหอมตามสั่งจากลูกค้า ซึ่งไม่เพียงแต่โด่งดังแค่ในฝรั่งเศส ทว่าชื่อเสียงของเกอร์แลงนั้นยังขจรขจายไปทั่วโลก
จากความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้ชนชั้นสูงในปารีส กลายเป็นลูกค้าประจำเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่ขาดสาย เกอร์แลง จึงได้เปิดสาขาใหญ่ เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทุกประเภท (flagship store) ขึ้นที่ถนนเดอ ลา เปซ์ ในปีเดียวกันนี้ มีการวางจำหน่ายที่เขียนขอบตา และมาสคาร่ารุ่นแรก รวมถึงลิปสติกแบบแท่งเป็นรายแรกอีกด้วย
ความสำเร็จของปิแอร์-ฟรองซัวส์ ทะยานสู่จุดสูงสุดด้วยการได้รับเกียรติให้ปรุงน้ำหอม Eau de Cologne Imperial ถวายแด่สมเด็จพระราชินียูเจอนี ในพระเจ้านโปเลียนที่ 3 ส่งผลให้เขาได้รับการแต่งตั้งยศเป็น His Majesty’s Official Perfumer หรือสุคนธกร (ผู้ปรุงน้ำหอม) ในพระองค์นับแต่นั้น ซึ่งสิ่งนี้ได้นำพาเขาไปสู่การเป็นผู้ปรุงน้ำหอมถวายสมเด็จพระบรมราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษ และพระราชินีอิซซาแบลลาแห่งสเปน ตลอดจนราชนิกุลต่างๆ ทั่วภาคพื้นยุโรปในเวลาต่อมา เมื่อปิแอร์-ฟรองซัวส์-ปาสกาล เกอร์แลง ถึงแก่กรรม เอเม่ และกาเบรียล เกอร์แลง สืบทอดกิจการต่อจากผู้เป็นพ่อ โดยเขาได้ฝากมรดกทางความคิดว่า “ผลิตผลงานชั้นดี อย่าคิดจะลดหย่อนผ่อนปรนในคุณภาพ ที่เหลือก็คือ การยึดติดอยู่กับแนวคิดเรียบง่าย แล้วนำมาใช้อย่างพิถีพิถัน”
และในยุคนี้นับได้ว่าเป็นยุคแห่งการสร้างและสั่งสมขนบธรรมเนียมของเกอร์แลง จากบรรดาน้ำหอมกลิ่นคลาสสิกต่างๆ ที่เคยโด่งดัง ในยุคนี้เอเม่ได้สร้างสรรค์ปรากฏการณ์สำคัญของวงการน้ำหอม คือ Jicky (ปี 1889) ที่เป็นน้ำหอมยุคใหม่กลิ่นแรก ได้รับการสรรค์สร้างโดยอาศัยโครงสร้างทางกลิ่นแบบพีระมิด หรือโครงสร้าง 3 ชั้น ประกอบด้วยกลิ่นแรก, กลิ่นกลาง และกลิ่นฐาน ทว่ายังเป็นน้ำหอมที่อาศัยหัวน้ำหอมสังเคราะห์ร่วมกับหัวน้ำหอมสกัดจากธรรมชาติ ถือเป็นการหักล้างกฎเกณฑ์การปรุงน้ำหอมแบบดั้งเดิมเสียสิ้น นอกจากนี้ Jicky ถูกยกให้เป็นต้นตระกูลของน้ำหอมกลิ่น “ฟูแฌร์” (fougere= ในภาษาฝรั่งเศส ฟูแฌร์ แปลว่าเฟิร์น ทว่าเฟิร์นไม่มีกลิ่น จึงหมายความว่า น้ำหอมตระกูลนี้เป็นกลิ่นจากจินตนาการ หรือความคิดฝันของผู้ปรุงน้ำหอม โดยไม่ต้องอิง หรือลอกเลียนกลิ่นหอมใดๆ จากธรรมชาติ)
ต่อมาเกอร์แลงถูกส่งต่อมาถึงฌาคส์หลานรักของเอเม่ ผู้กลายเป็นนักปรุงน้ำหอมผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยถัดมา ผู้สร้างน้ำหอมยุคใหม่ ซึ่งต่อมากลายเป็นน้ำหอมกลิ่นคลาสสิกในปัจจุบัน น้ำหอมที่เป็นเอกลักษณ์ยุคนี้ คือ Shalimar ตั้งชื่อตามสวน “ศรีนครา” ของชาห์ จาฮาน ซึ่งสร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักที่มีต่อพระนางมุมตัส มาฮาล มเหสีผู้ล่วงลับ อีกหนึ่งผลงานอันน่าจดจำ คือ VOL DE NUIT โวล เดอ นุยต์ ได้รับการสร้างขึ้นในปีเดียวกับที่ก่อตั้งบริษัทสายการบินแอร์ ฟรานซ์ ตั้งชื่อตามนวนิยายของแซงเต็กซูปรี น้ำหอมกลิ่นนี้ออกแบบขึ้นเพื่อสตรีนางหนึ่ง ซึ่งปลุกเร้าความรู้สึกชื่นชมจากมวลบุรุษ เธอประสบความสำเร็จทัดเทียม หรือบางครั้งอาจเหนือกว่าบุรุษเหล่านี้ เพราะเธอคือเอเลน บูแชร นักบินหญิงของยุคนั้น Vol de Nuit จัดเป็นน้ำหอมที่มีบุคลิกหลากหลายที่สุดในบรรดาน้ำหอมเกอร์แลง ลักษณะของขวดเป็นนวัตกรรมงานผสมผสานระหว่างแก้วและโลหะ ด้านหน้าตัดก่อประกายลำแสงเสมือนรัศมี อันชวนให้นึกถึงการหมุนเคลื่อนที่ของใบพัดเครื่องบิน และในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด Scarlet คือบลัชแต่งแก้มที่ขายดีที่สุดโดยเฉพาะในหมู่ทหารอเมริกัน ซึ่งต่อแถวซื้อไปพร้อมกับน้ำหอม เพื่อนำไปฝากคนรักที่ประเทศของตน
เมื่อย่างเข้าสู่ทศวรรษที่ 1980 ก็เพิ่มความโดดเด่นในเรื่องของเมกอัพ อย่าง Terracotta (ค.ศ. 1984) แป้งแต่งหน้าเพื่อปรับให้ผิวเป็นสีแทน เป็นผลิตภัณฑ์ที่ “ต้องมี” ไว้สำหรับผู้หญิงแฟชั่นทุกคน, Meteorites (ค.ศ. 1987) แป้งฝุ่นในรูปแบบเม็ดไข่มุก ขับประกายผิว และ Divinora (ค.ศ. 1990) ผลิตภัณฑ์เมกอัพเบสใช้เตรียมผิวก่อนลงรองพื้นรุ่นบุกเบิก วางจำหน่ายมาจนถึงปี ค.ศ. 2007 จึงได้พัฒนาสูตรใหม่ ใช้ชื่อว่า L’Or
และเกอร์แลงสร้างปรากฏการณ์แห่งวงการน้ำหอมโลกขึ้นอีกครั้ง ในชื่อ Samsara มาจากภาษาสันสกฤต หมายถึง “การถือกำเนิดใหม่ไม่รู้จบ” หรือวัฏสังสาร ตามความเชื่อในศาสนาพุทธนิกายตันตระของทิเบต โครงสร้างกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ ชวนพิศวงนี้ เกิดจากการผสมผสานมะลิ กระดังงา และไม้จันทน์เทศ ได้รับการบรรจุไว้ในขวดสีแดง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ขวดน้ำหอม ขณะที่ฝาจุกเป็นตัวแทนของดวงตาพระพุทธ
ทศวรรษ 1990 คือทศวรรษแห่งผลิตภัณฑ์ถนอมผิว จากนวัตกรรมอันหรูหราด้วยการผสมผสานทองคำเข้ากับสารสกัดจากสาหร่ายทะเลน้ำลึกเกิดเป็นหัวใจสำคัญของกลุ่มผลิตภัณฑ์ถนอมผิว issima
อีกหนึ่งแรงบันดาลใจของเกอร์แลง คือ ผึ้ง ที่เป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์นโปเลียน ที่เกอร์แลงได้รับเกียรติให้นำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ อย่างที่เห็นบนขวดทองของ l’Eau Imperiale
บรรดานักปรุงน้ำหอมของเกอร์แลง มักเดินทางไปทั่วโลกเพื่อแสวงหาน้ำมันหอมระเหยที่มีคุณภาพดีที่สุด หายากที่สุด จวบจนกระทั่งปัจจุบันเกอร์แลงยังใช้วัตถุดิบธรรมชาติ คุณภาพเป็นเลิศในการสร้างสรรค์น้ำหอมกลิ่นต่างๆ เพื่อให้น้ำหอมแต่ละกลิ่นได้เผยพลังเสน่ห์ดึงดูดอันเป็นลักษณะเฉพาะตัวออกมาอย่างชัดเจน ความโดดเด่นสืบสานจนถึงปัจจุบันของผลิตภัณฑ์เกอร์แลง
Baume de la Ferte (โบม เดอ ลา แฟรเต) ได้มอบความมหัศจรรย์แก่ริมฝีปาก (บาล์มบำรุงผิวริมฝีปาก) มีวางจำหน่ายตั้งแต่ทศวรรษ 1830 ในขณะที่ Camphora cream ครีมทาสิว วางจำหน่ายเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1870 และยังมีวางเรื่อยมากระทั่งปัจจุบันในชื่อ Creme Camphora มาถึงในยุคปัจจุบัน
2008 : เกอร์แลง ได้แต่งตั้งสุคนธกรของตนอย่างเป็นทางการ นั่นคือ เธียร์รี่ วาสซาร์ ปัจจุบัน เขาทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับฌอง-ปอล เกอร์แลง ที่ปรึกษาของแบรนด์ ในปี ค.ศ. 2009 เธียร์รี่ได้รังสรรค์ Idylle น้ำหอมคลาสสิdกลิ่นใหม่และ La Petite Robe Noire ในปี ค.ศ. 2012 สำหรับคุณผู้หญิง :: Text by FLASH
>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net