>>ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศแล้ว แต่ “ริโอ เดอ จาเนโร” (Rio de Janeiro) ก็เป็นเมืองที่สวยที่สุดของประเทศบราซิลเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะหาดทรายระยิบระยับชื่อก้องโลกอย่าง “โคปาคาบาน่า” (Copacabana) ที่มีผู้คนแวะเวียนมาอย่างไม่ขาดสาย
ผมเชื่อว่าสำหรับคนไทย เมื่อพูดถึงประเทศบราซิลคงมีน้อยคนนักที่จะได้มีโอกาสมาเยือน ถ้าไม่ได้มาเพื่อธุรกิจ มาเรียนหนังสือในภูมิภาคนี้ หรือมาร่วมงานกิจกรรมต่างๆ เพราะเป็นประเทศที่อยู่ห่างไกล ต้องใช้เวลานานนับวันกว่าจะเดินทางมาถึงได้ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่ต้องจ่ายมากกว่าเดินทางไปเที่ยวทวีปยุโรป หรืออเมริกา
สำหรับผมแล้ว การมาเยือนเมืองริโอ เดอ จาเนโร ครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก บริษัท ดิอาจิโอ โมเอต เฮนเนสซี (ประเทศไทย) จำกัด เดินทางมาร่วมงาน “Diageo Reserve WORLD CLASS 2012” ซึ่งเป็นสุดยอดเวทีการแข่งขันค็อกเทลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นแคมเปญระดับโลกที่สานต่อเป็นปีที่ 4 โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2009 เพื่อเฟ้นหาสุดยอดมิกโซลิจีสผู้เปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์ในการรังสรรค์เครื่องดื่มชั้นเลิศ ณ โรงแรมโคปาคาบาน่า พาเลซ และเวทีนี้นี่เองที่ตอกย้ำให้เราเห็นว่าวิถีการดื่มในปัจจุบันจะต้องแตกต่างไปจากเดิม
เวทีการแข่งขันค็อกเทลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้เริ่มขึ้น ณ ดินแดนแซมบ้า ด้วยเพราะเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยสีสันและความหลากหลายทางวัฒนธรรม และภูมิประเทศที่งดงาม ยิ่งเป็นหาดที่มีชื่อเสียงระดับโลก อย่าง “โคปาคาบาน่า” ด้วยแล้ว ทำให้หลายคนนึกถึงดนตรีสไตล์แซมบ้า หนุ่มสาวที่ชอบออกมาเดินอวดหุ่นริมหาด และเครื่องดื่มเก๋ๆ สักแก้ว ทำให้ได้อรรถรสในการใช้ชีวิตยิ่งนัก
ตลอดระยะเวลาเกือนสิบวันที่ผมใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองริโอ เดอ จาเนโร นอกจากจะได้ร่วมงาน WORLD CLASS แล้ว ผมยังใช้เวลาส่วนหนึ่งสัมผัสกับวิถีชีวิตของผู้คนในริโออีกด้วย โดยโรงแรมวินด์เซอร์ แอตแลนติก้า ที่พักตั้งอยู่ริมหาดโคปาคาบาน่า ห่างจากโรงแรมโคปาคาบาน่า พาเลซ สถานที่จัดการแข่งขันเพียง 10 นาที ถ้าเดินด้วยเท้า แต่หากใครต้องการเดินทางเข้าไปยังเมืองหลวงของริโอ ก็สามารถเลือกนั่งรถไฟใต้ดินสะดวกและปลอดภัยที่สุด
การเดินทางในประเทศบราซิลขึ้นชื่อเรื่องความไม่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากการพัฒนาระหว่างเทคโนโลยีกับวิถีชีวิตของผู้คนในบราซิลนั้นมีระยะห่าง ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ยากจน จึงดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองมีกินมีใช้และก้าวเดินตามเทคโนโลยีที่แผ่อิทธิพลไปทั่วทุกภูมิภาคและเจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนต้องคอยระแวดระแวงพวกมิจฉาชีพตลอดเวลา ยิ่งเวลากลางคืนด้วยแล้ว หลายโรงแรมจะประกาศเลยว่าไม่ควรออกไปเดินเล่นที่ไหนเพียงลำพัง เพราะอาจจะไม่ได้ความปลอดภัยได้ เพราะมีทั้งพวกปล้น จี้ วิ่งราวทรัพย์ หรือพวก 18 มงกุฎ หลอกลวง ตุ้มตุ๋ม หลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย เพราะพวกเขาเข้าใจว่าด้วยระยะทางที่ห่างไกล ถ้าไม่รวยจริงคงไม่สามารถมาเที่ยวบราซิลได้ ทำให้เป็นตกเป็นเหยื่อโจมตีได้
แต่ในความจริงแล้ว ถ้าเราลืมเรื่องความไม่ปลอดภัย (ในการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว) ประเทศบราซิล โดยเฉพาะที่เมืองริโอ เดอ จาเนโร เป็นเมืองที่มีเสน่ห์มาก ทั้งผู้คนท้องถิ่น (จริงๆ แล้วมนุษยสัมพันธ์ดี) สถาปัตยกรรม ธรรมชาติ ศิลปะ-วัฒนธรรม และวิถีการดำเนินชีวิต
และแน่นอนว่าเมื่อมาเยือนริโอก็ต้องมาเหยียบหาดชื่อก้องโลกอย่าง โคปาคาบาน่า แม้จะเก่าและบางจุดค่อนข้างเสื่อมโทรม แต่ก็ยังเป็นหาดเด่นที่สุดของริโอ และเป็นแหล่งรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติ ด้วยเวิ้งหาดโค้งสวยแบบจันทร์เสี้ยวจนจรดเขาชูการ์โลฟที่ปลายหาด หาดแห่งนี้จึงได้รับความนิยมตลอดกาล
หาดแห่งนี้เริ่มมีชื่อในยุค 20's หลังจากที่โรงแรมโคปาคาบาน่า พาเลซ (Copacabana Palace Hotel) อันหรูหราเปิดให้บริการ ซึ่งชาวริโอมักเรียกกันสั้นๆ ว่า “เดอะ โคปา” ในยุคนั้นบราซิลอนุญาตให้เล่นการพนันได้ โคปาคาบาน่าจึงกลายเป็นย่านบ่อนอันคึกคักของริโอในเวลาต่อมา
ด้วยบ่อนและโรงแรมที่เลิศที่สุดในทวีป โคปาคาบาน่าจึงกลายเป็นเวทีของเหล่าคนดังสุดหรูระดับโลก อาหารค่ำชุดราตรีที่เดอะโคปากลายเป็นกิจวัตรของบรรดาไฮโซชื่อก้องโลก รวมถึงคนดังในอดีตอย่าง ลานา เทอร์เนอร์, อีวา เปโรน, อาลี ข่าน, มาร์ลีน ดีทริกซ์ และออร์สัน เวลล์ แม้แต่ จอห์น เอฟ เคเนดี้ ก็ยังแวะมาครั้งหนึ่งในยุค 40's
ต่อมาในปี 1946 บราซิลออกกฎหมายห้ามการพนันในบ่อน ทว่า โคปาคาบาน่าก็ยังเฟื่องฟูต่อไปในยุค 50's ก่อนจะซบเซาลงในยุค 60's แต่การก่อสร้างโรงแรมใหญ่สามแห่ง ในขณะที่แห่งอื่นๆ รวมทั้งเดอะโคปาชื่อดัง ก็ยังทำการปรับโฉมตลอดเวลา ทำให้โคปาคาบาน่าคืนชีพอีกครั้งในยุค 80's ปัจจุบัน มีการถมชายหาดให้ใหญ่ขึ้น แต่มนต์เสน่ห์ก็ยังไม่จางหาย แม้หาดอีปาเนม่า (Ipanema) จะดูดีและปลอดภัยน่าพักกว่าก็ตาม
ทรายอุ่นหน้าร้อนที่โคปาคาบาน่าได้ต้อนรับคนรักหาดหลายหมื่นคน ทั้งพ่อค้าเร่ เดินนวยนาดขายเครื่องดื่ม ของกิน ครีมกันแดด และหมวกไปตามชายหาด พลางเพิ่มสีสันด้วยการร้องเพลงเสียงสูงๆ ต่ำๆ และตีกลองกับเขย่าแท่งโลหะในจังหวะอันคึกคัก เหล่านักอาบแดดนอนกรีดกรายอยู่ใต้ร่ม และผ้าใบชายหาดหลากสี แล้วจึงลงแช่น้ำทะเลก่อนไปเฉิดฉายอยู่ที่อาเวนีดา อัตลันทีคา (ถนนเลียบหาด) เพื่อจิบเบียร์เย็นๆ ตามคาเฟ่ริมทาง หรือไก่ทอดยอดฮิต ซึ่งอันนี้ขาดไม่ได้เลยทีเดียว เค็มๆ หน่อย แต่รสชาติถูกปากคนไทย
สุดหาดโคปาคาบาน่า ก่อนถึงหาดอีปาเนม่า คือ หาดอาร์ปัวดอร์ ซึ่งเป็นจุดโต้คลื่นอันลือชื่อ และไกลออกไปคือเทือกเขา “โดอิส อีร์เมาส์” แปลว่า สองพี่น้อง ซึ่งตระหง่านสูงขึงขังน่าเกรงขาม แต่ก็เป็นธรรมชาติที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในริโอ
หาดอีปาเนม่า เป็นคำพื้นเมือง แปลว่า น่านน้ำอันตราย หาดนี้เป็นแหล่งรวมเศรษฐีทั้งเก่าและใหม่ แม้ว่าเศรษฐีใหม่จะนิยมย่าน “บาฮา” กันมากขึ้นก็ตาม ในตอนแรกสมัยปี 1894 อีปาเนม่าเป็นถิ่นที่รอคอยการพัฒนา เพราะมีเพียงถนนลูกรังที่ตัดผ่านเนินทรายและบังกะโลเพียงหยิบมือเรียงรายอยู่ข้างทาง ไม่มีใครสนใจอีปาเนม่า จนกระทั่งโคปาคาบาน่าแออัดเกินกว่าที่คนรวยแถบนั้นจะรับไหว และเริ่มย้ายไปยังหาดที่อยู่ถัดลงไป
จากยุค 50's มาจนถึงปัจจุบัน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอีปาเนม่าเพื่องฟูอย่างน่าทึ่ง และประชากรก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ยุค 60's เป็นต้นมา ป่าคอนกรีตผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดริมหาดอีปาเนม่าจนเข้าขั้นน้องๆ โคปาคาบาน่าเลยทีเดียว
ยุค 60's เป็นช่วงที่กระแสเสรีนิยมอันหอมหวนถาโถมอีปาเนม่า คนรักอิสระและปัญญาชนริโอหลั่งไหลมายังคาเฟ่และบาร์ริมถนนที่นี่ และพูดคุยกันถึงเรื่องเด่นๆ ในยุคนั้น อาทิ ฮิปปี้ ร็อกแอนด์โรล เดอะบีเทิลส์ ยาเสพติด การไว้ผมยาว และชีวิตรักอิสระ เรื่องสรวลเสมีมากเช่นกัน แม้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ แต่ยุคดอกไม้บานของอีปาเนม่าก็เป็นจุดเริ่มต้นของวิถีริโอในปัจจุบัน ซึ่งไร้พิธีรีตอง มาดมั่น และเสรีเป็นที่สุด ทั้งกายและใจ ด้วยเหตุนี้ อีนาเนม่าจึงก้าวขึ้นนำวิถีชีวิตในริโอ และโคปาคาบาน่าจึงตกเป็นรอง
ชาวบราซิเลียน โดยเฉพาะที่ริโอ ซึ่งได้ชื่อว่า “เมืองอัศจรรย์” ชาวริโอจะบูชาการมีหุ่นสวย-บึกบึนสมบูรณ์แบบ ทำนองเดียวกับที่เมืองของตนมีทัศนียภาพงามชวนตะลึง ทันทีที่อาทิตย์ขึ้นทุกๆ เช่น ชาวริโอผู้กระหายความงาม-บึกบึนจะปรากฎตัวที่หาดอีปาเนม่า ซึ่งเป็นแหล่งรวมหนุ่ม-สาว
สาวนุ่งสั้นร่างเพรียวผิวสีน้ำผึ้ง จะเหยียดดัดร่างกายด้วยโยคะท่าต่างๆ ต้อนรับแสงอรุณ ส่วนหนุ่มๆ ร่างบึกจะโหนบาร์และโยกตัวที่เครื่องออกกำลังกายกลางแจ้งริมหาด บางกลุ่มก็เต้นแอโรบิก รำไทเก็ก ทำพีลาเตส์ หรือทำท่าดัดตนง่ายๆ ในบราซิลทุกคนมีสิทธิ์ฝันถึงรูปร่างในอุดมคติ อายุและฐานะไม่ใช่อุปสรรคในการใฝ่หาความงาม เพราะกฎมีอยู่ว่า “อยากหุ่นดี ต้องทุ่มเท” ชาวบราซิเลียนจึงออกกำลังกันจริงๆ จังๆ ยอมใส่ชุดรัดรูป ติดเครื่องนับก้าว เข้มขัดกระชับสัดส่วน และอุปกรณ์วัดการเต้นของหัวใจ เพียงเพื่อให้ “ฟิต แอนด์ เฟิร์ม”
ถึงแม้ว่ารัฐบาลของบราซิลจะมีแนวคิดในการย้ายเมืองหลวงจากริโอ เดอ จาเนโร มาสร้างเมืองหลวงใหม่อย่าง “บราซิเลีย” (Brasilia) ในปี 1987 ด้วยเหตุผลทางด้านการกระจายความเจริญไปยังภูมิภาคอื่นของประเทศ ไม่อาจเปลี่ยนใจให้ผู้มาเยือนเลือกเมืองริโอไปได้ ด้วยเพราะทุกจิตวิญญาณและทุกลมหายใจถูกสะกดไว้ยังดินแดนแห่งนี้แล้ว :: Text by FLASH
ริโอเมื่อแรกเริ่ม :: 1 มกราคม 1502 เป็นวันที่ริโอต้อนรับ “นักท่องเที่ยว” กลุ่มแรก คือ ชาวโปรตุกีสในคณะสำรวจของ “อเมริโก เวสปุชชี” เมื่อมาถึงเวสปุชชีคิดว่าริโอคือปากแม่น้ำ จึงได้ตั้งชื่อให้ว่า “ริโอ เดอ จาเนโร” (หรือ River of January = แม่น้ำมกราคม) แต่จริงๆ แล้ว แม่น้ำที่ว่านั้นคือ อ่าวใหญ่ที่มีขนาด 380 ตารางกิโลเมตร ซึ่งทุกวันนี้ยังคงเรียกกันด้วยภาษาพื้นเมืองว่า “กวานาบาร่า” แปลว่า อ่าวแห่งท้องทะเล
สถานที่ไม่ควรพลาดไปเยือน ::
ลาร์โก ดา คารีออคา : อารามคอนเวนโต ดี ซันโต อันโตเนียว ซึ่งใช้เวลาสร้างนานหลายสมัยในยุคอาณานิคม โดยเริ่มตั้งแต่ปี 1608 และโบสถ์ใหญ่สร้างเสร็จเมื่อปี 1780
โบสถ์อีเกรจา ดี เซา ฟรันซิสโก ดา เปนีเตนเซีย : สร้างขึ้นในปี 1657-1772 ภายในงดงามด้วยงานไม้แกะสลักปิดทอง
ปราซา ทีราเดนทิส : จัตุรัสนี้ตั้งชื่อตามฉายา ทีราเดนทิส (คนถอนฟัน) ของเจาจิง โคแซ ดา ซิลวา ชาวีแอร์ นักประท้วงคนดังของรัฐมีนัส เจไรส์ ซึ่งถูกแขวนคอในวันที่ 21 เมษายน ปี 1792 และเป็นวันหยุดราชการของบราซิลในเวลาต่อมา
ห้องสมุดเฮอัล กาบีเนนซี ปอร์ตูเกส ดี เลอิตูรา : เป็นสถานที่เดียวนอกโปรตุเกสที่มีวรรณกรรมล้ำค่าภาษาโปรตุกีสมากที่สุด โดยมีบทประพันธ์หายากกว่า 350,000 ชิ้น
ชูการ์โลฟ : ภูเขาหินแกรนิตอันแข็งแกร่ง ในปี 1912 มีการสร้างทางรถประเช้าจากปราเอีย แวร์เมลยา ที่เชิงเขาขึ้นไปบนยอดเขา ทำให้ชมทิวทัศน์ได้ทุกทิศทั้งหาดโคปาคาบาน่า หาดอีปาเนม่า หาดเลบรอง และเหล่าภูเขาไกลออกไป
ยอดเขาคอร์โควาโด : รูปปั้นพระคริสต์ผู้ไถ่บาปชื่อก้องโลก ที่ยืนกางแขนอยู่บนยอดเขา ซึ่งมีระดับความสูง 170เมตร สามารถเดินทางขึ้นมาชมด้วยรถแท็กซี่ หรือรถไฟคอร์โควาโดสุดคลาสสิกจากเบื้องล่างก็ได้
>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net