>>ความรักของคนเป็นแม่ที่มีต่อลูก ยิ่งใหญ่ขนาดไหนคงจะไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรได้ครบถ้วน และสำหรับคุณแม่ลูกสองอย่าง “คุณติ๊ก-อภิภาวดี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา” ก็เช่นกัน แค่เธอบอกกับเราสั้นๆ ว่า “มีชีวิตอยู่ก็เพราะลูกทั้งสองคน” คำถามที่ว่า เธอรักลูกมากขนาดไหน ก็คงไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกไป
แม้ว่าจากข่าวในหน้าซุบซิบของหนังสือพิมพ์ฉบับดัง จะพูดถึงการหย่าร้างของ คุณติ๊ก และสามี “คุณทอม เครือโสภณ” แต่ทุกวันนี้ทั้งคู่ก็ยังดำรงสถานะเป็นพ่อแม่ที่ดี และให้เวลากับลูกๆ วัยกำลังซน “น้องเพลง-เพลงรำไพ” วัย 9 ขวบ และ “น้องพิณ-พิณไพเราะ” วัย 5 -วบ อย่างเต็มที่เช่นเดิม
ด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ และอาจเป็นเพราะความรักและความห่วงใยที่มีมาก คุณติ๊กยอมรับว่าเลี้ยงลูกอย่างทะนุถนอมมากเกินไป โดยเฉพาะกับลูกสาวคนโต ที่เป็นเหมือนบทเรียนในความผิดพลาดของเธอ
“เพราะเป็นลูกคนแรก พี่เลยหวงมาก อาจจะเป็นเพราะพ่อแม่ติ๊ก หย่ากันตั้งแต่เรายังเด็ก เลยฝังใจว่าเราต้องดูแลเขาให้ดีที่สุด แต่มันกลับออกมาแย่ อย่างแรกคือใครแตะตัวเขาไม่ได้ เราไม่ให้ใครอุ้มเลย ขนาดพ่อเขาเองก็ผ่านไปหลายเดือนกว่าเราจะให้อุ้ม กลัวคนอื่นสกปรก กลัวทำลูกเราตก ขนาดตอนคลอดใหม่ๆ ไม่อยากให้ใครมาเยี่ยมเลย อยู่โรงพยาบาลแค่ 2 คืนก็รีบกลับ ใครตามมาเยี่ยมถึงบ้านนี่โกรธเลยนะ
พอโตขึ้นน้องเพลงจึงเป็นเด็กที่ไม่ค่อยพูดคุยกับคนอื่น เขาจะอยู่แต่กับเพื่อนในกลุ่ม ถ้าพาเขาไปเรียนพิเศษข้างนอกก็ไม่ได้เลยนะ เรื่องอาหารการกินก็จะกินอะไรไม่ค่อยได้ เขาทานแต่นมแม่อย่างเดียวจนประมาณ 6 เดือน กว่าจะได้ทานอย่างอื่น หรือเรื่องการนอนเมื่อก่อนเราให้เขานอนตั้งแต่ 6 โมงครึ่งเลยนะ เราจะเป๊ะมากเหมือนคนโรคจิต จนน้องเพลงได้ 3-4 ขวบ เราอ่านหนังสือกันอยู่ เขาถามขึ้นมาว่า ...พระจันทร์เป็นยังไง เพลงไม่เคยเห็นเลย...โห เรารู้สึกแย่มาก เหมือนฟ้าถล่มเลย หลังจากนั้นเราก็ผ่อนมากขึ้น”
จะให้พูดว่าเป็นความผิดพลาด ก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว แต่ถือเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์น่าจะดีกว่า เมื่อมีบทเรียนผ่านมาแล้ว การเลี้ยงดูลูกคนที่สองอย่างน้องพิณ จึงแตกต่างจากคนโตพอสมควร “พอมาถึงน้องพิณ พี่จะเลี้ยงปล่อยกว่าน้องเพลงเยอะมาก ไม่บ้าแล้ว คนเล็กจะสนิทกับคุณพ่อเขามาก และมีความเป็นผู้นำมากกว่า”
สไตล์การเลี้ยงลูกของคุณติ๊ก เธอให้ความสนิทสนมเหมือนเพื่อนกับลูก แต่ต้องไม่ลืมความเป็นพ่อแม่ด้วยเช่นกัน “เวลามีคนถามลูก ว่าใครเป็น Best Friend ของเขา แล้วเขาตอบว่าพ่อแม่ นี่ถือว่าเราประสบความสำเร็จแล้วนะ แต่เราก็ต้องให้เขาฟังเรา เวลาเราดุเขาต้องฟัง อย่างคุณทอม จะตามใจลูกมากถึงมากที่สุด แต่เด็กๆ ก็กลัวพ่อเวลาพ่อดุนะ คุณทอมจะเลี้ยงแบบฝรั่ง ค่อนข้างปล่อยหน่อย แต่สำหรับตัวพี่จะค่อนข้างมีระเบียบ แต่เขาก็ไม่กลัวเราเท่าพ่อหรอก”
ในฐานะคุณแม่ คุณติ๊ก ยึดคติ “ฟังมากกว่าพูด” รับฟังในสิ่งที่ลูกต้องการ และไม่กดดันให้ลูกทำในสิ่งที่ต้องการ “พี่จะให้เขาตัดสินใจด้วยตัวเอง ให้อิสระทางความคิดมาก พอถึงวัยเข้าโรงเรียนเลยตัดสินใจส่งเข้าโรงเรียนอินเตอร์ เขาเลยค่อนข้างมีความมั่นใจมาก ตัวพี่เองเติบโตมาอยู่ในกรอบ เมื่อเทียบตัวเองกับคนที่เรียนเมืองนอก หรือจบอินเตอร์ พี่รู้สึกว่าพวกเขาได้เปรียบเรื่องการตัดสินใจด้วยตัวเองมากกว่า พี่จะบอกลูกว่า ถ้าอยากทำหรือไม่อยากทำอะไรให้บอก ให้พูดออกมาเลย อยากไปไหนก็บอก แต่ขณะเดียวกันเรื่องวัฒนธรรมไทยเราก็ไม่ทิ้งแน่นอน
นิสัยทั้งสองคนแตกต่างกันมากนะ คนโตนิสัยจะคล้ายพี่ ค่อนข้างเงียบ ชอบอ่านหนังสือ แต่จะชอบเล่นกีฬา ที่โรงเรียนมีกีฬาอะไรก็เล่นหมด เป็นนักกีฬาของโรงเรียนด้วย และชอบเต้นแจ๊ซ เต็นแท็ป ส่วนคนเล็กนิสัยคล้ายพ่อ คิดอะไรก็พูดออกมา แต่กีฬาไม่เอาเลยนะ ยกเว้นยิมนาสติกกับเต้น แต่ก็พยายามปลูกฝังให้ทั้งคู่ต้องว่ายน้ำเป็น และเล่นกีฬาที่เป็นทีมน่ะ เพราะเวลาโตขึ้นเขาจะได้รู้จักการทำงานเป็นทีม”
สำหรับคนเป็นแม่ แค่ได้เห็นว่าลูกของตัวเองเติบโตเป็นคนดีของสังคม ก็คงเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจแล้ว คุณติ๊กก็ไม่ต่างกัน “พี่ไม่ได้หวังว่าต่อไปเขาจะเป็นอะไร พี่ให้การศึกษาที่ดีที่สุดกับเขาทั้ง 2 คนเท่าที่พ่อกับแม่จะสนับสนุนได้แล้ว ต่อไปเป็นหน้าที่ของเขาเอง สิ่งที่พี่ต้องการมากที่สุดคือ ไม่อยากให้เขาเป็นภาระของสังคม ต้องช่วยเหลือตัวเองได้ แต่แค่ตัวเองไม่พอ ต้องช่วยเหลือคนอื่นด้วย พี่จะพาพวกเขาไปบ้านเด็กกำพร้า ปีหนึ่งอย่างน้อย 2 ครั้ง เราจะบอกลูกตลอดเวลาว่าเขาโชคดีกว่าคนอื่นมาก ดังนั้นลูกต้องช่วยคนอื่นๆ ด้วย
และพี่จะย้ำทั้งสองคนตลอดเรื่องพี่น้องอยากให้เขารักกันมากๆ บอกน้องเพลงตลอดว่า ที่มีน้องพิณ เพราะอยากให้เขาเป็นเพื่อนกัน และบอกเขาตั้งแต่ตอนนี้เลยว่า สุดท้ายแล้วพ่อแม่จะต้องตาย ในชีวิตนี้จะไม่มีใครที่จะมารักเขาได้อีกแล้วนอกจากพี่น้อง เพราะฉะนั้นจะทะเลาะกันยังไง สุดท้ายก็เหลือกันแค่ 2 คนเท่านั้น”
“อยากจะขอบคุณที่เกิดมาเป็นลูกเรา เพราะว่าที่ผ่านมา ก็มีทั้งทุกข์ทั้งสุข ถึงบางทีเขาจะดื้อไปบ้าง แต่มันก็มีความสุขดีนะ เขาทั้งสองคนเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต ที่มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้เพราะพวกเขา พี่ไม่ต้องการอะไรเลยนะ แค่อยากให้เขารักกัน อย่าเป็นภาระของสังคม ดูแลตัวเองได้ ช่วยเหลือคนอื่นได้ แค่นี้ก็พอแล้ว” นี่เป็นคำพูดของคุณแม่คนเก่งที่อยากจะบอกลูกในอนาคตข้างหน้า น้ำตาที่ซึมขอบตาเมื่อพูดถึงเด็กน้อยทั้งสอง คงเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีในความรักของแม่คนนี้.... :: Text by FLASH
>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net หรือ App Store ได้แล้วที่ celeb online ipad edition