xs
xsm
sm
md
lg

เจ้าพ่อหนังจระเข้ไทย “กำธร เต็มศิริพงศ์” กับการสร้างแบรนด์ “คาริสซา” สู่สากล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ถ้าเป้าหมายมีไว้พุ่งชน นาทีต้องบอกว่า “กำธร เต็มศิริพงศ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีราชา โมด้า จำกัด ถือเป็นคนไทยคนแรกที่พุ่งใกล้เข้าเป้าหมายมากขึ้นทุกที เพราะนอกจากจะเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายหนังจระเข้ส่งออกรายแรกรายเดียวของประเทศไทยแล้ว ..ในวันนี้สินค้าแฟชั่นหนังจระเข้ทั้งกระเป๋าหนัง เสื้อผ้า ภายใต้แบรนด์คาริสซา (Karissa) ของเขายังเริ่มเป็นที่ยอมรับของคนดังทั้งในและต่างประเทศแล้ว



ใครที่เห็น “จระเข้” มักจะบอกว่าเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่ดุร้ายและน่ากลัว แต่สำหรับ กำธรนั้นเขากลับมองต่างมุม ด้วยชีวิตที่ครอบครัวที่คลุกคลีกับฟาร์มสัตว์เลี้ยงมาหลายชนิด เขาจึงค้นพบถึงขุมทองอันมหาศาลของจระเข้ที่ได้ชื่อว่าสัตว์เศรษฐกิจโดยแท้จริง เพราะหนังตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าทำเครื่องหนัง เนื้อใช้รับประทาน เลือดทำยารักษาโรค และยังมีส่วนอื่น ๆ ที่สามารถแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าได้อีกมากมาย

ยิ่งได้รู้จักจระเข้มากขึ้นทำให้กำธรก็ยิ่งมองเห็นคุณคุณค่าพร้อมกับตั้งความหวังไว้ว่าสักวันหนึ่งเขาจะนำจระเข้มาสร้างเป็นสินค้าแบรนด์ไทยให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก



หลังจบปริญญาตรี ด้านบริหารที่เอแบค กำธรเข้าทำงานที่ ศรีราชาฟาร์ม กรุ๊ป ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดดูแลเรื่องจรเข้ เมื่อสั่งสมประสบการณ์จนได้ที่ ในปี 2546 จึงผันตัวเองออกมาเปิดบริษัทของตัวเองโดยใช้ชื่อบริษัท ศรีราชา โมด้า จำกัด



กำธรบอกว่า ช่วงแรก บริษัท ศรีราชา โมด้า ทำหน้าที่เพาะเลี้ยงและผลิตหนังจระเข้เพื่อเป็นวัตถุดิบส่งออกต่างประเทศให้แบรนด์ดังๆหลายราย โดยลูกค้าจะรู้ว่าหนังจระเข้ของ “โมด้า” เป็นหนังที่มีคุณภาพ เพราะทุกขั้นตอนจะผ่านกระบวนการที่พิถีพิถัน นับตั้งแต่สายพันธุ์ก็เลือกใช้จระเข้พันธุ์ไทย เพราะมีลวดลายสวยที่สุด เวลาเลี้ยงใช้บ่อเดี่ยวป้องกันไม่ให้หนังจรเข้เป็นแผลและมีรอย



“ผมอยากให้หนังจระเข้ไทยเป็นที่ยอมรับก็จะทำให้ดีที่สุด พอถึงจุดนั้นแล้ว ผมไม่อยากรับจ้างผลิตวัตถุดิบอย่างเดียวแล้ว ผมอยากให้โมด้าเป็นบริษัทจระเข้ครบวงจร เราจะหยุดนิ่งไม่ได้ ”

นั่นจึงเป็นที่มาของการสร้างแบรนด์เครื่องหนังจระเข้ของตัวเองในชื่อ “คาริสซ่า” ด้วยประสบการณ์ที่คลุกคลีกับจระเข้มากว่าชั่วชีวิต กำธรจึงนำเสน่ห์ของหนังจระเข้ใส่ไว้เต็มร้อยในแบรนด์ใหม่ของเขา คือ การฟอกหนังจะใช้เทคนิคพิเศษเน้นความนุ่มน่าสัมผัส อีกทั้งการตัดเย็บทุกฝีเข็มยึดรูปแบบฝรั่งเศส สินค้าบางตัวจะเย็บด้วยมือเพื่อเก็บรายละเอียด “หนังจระเข้จริงๆแล้วจะนิ่มมาก ส่วนที่ดีที่สุดอยู่ตรงหนังหน้าท้อง แต่ช่วงที่นำมาฟอกหากทำไม่ดีหนังจะแข็งกระด้างไม่น่าสัมผัส ผมเลยคิดสร้างจุดแข็งให้คาริสซ่า มีหนังนุ่มเหมือนหนังมีชีวิต แม้จะใช้ระยะเวลานานแต่เพื่อให้ได้งานที่มีคุณภาพก็ทำ ยิ่งถ้าอยากให้นิ่มแบบที่มาทำผ้าพันคอ กระบวนการผลิตแต่ละปีจึงได้หนังจระเข้แบบนี้ไม่เกิน 1-2 ผืนเท่านั้น"



ด้วยคุณภาพและการออกแบบภายใต้คอนเซปต์ Casual luxury คือ ความหรูหราที่สามารถใช้ได้ทุกวัน ทำให้ “คาริสซ่า” กลายเป็นที่ได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ ล่าสุด บริษัท โมด้า เจแปน ของญี่ปุ่นติดต่อขอซื้อไลน์เซนส์ แบรนด์ “คาริสซ่า” ไปเปิดที่โตเกียว เซี่ยงไฮ้ สิงคโปร์ มาเก๊า และฮ่องกง

“หลังจากที่สินค้าเราไปวางขายที่ญี่ปุ่นกระแสตอบรับก็ดีนะครับ แต่เราก็ยังไม่ใช่เบอร์หนึ่งของญี่ปุ่น สิ่งที่ผมภูมิใจคือหลายคนที่ใช้กระเป๋าหนังจระเข้จริงๆเขาจะรู้ว่าเบอร์หนึ่งของญี่ปุ่นก็ยังต้องมาซื้อหนังจระเข้ของโมด้าไปใช้เป็นวัตถุดิบ ..พอตอนที่โมด้าเจแปนติดต่อมาซื้อไลน์เซนส์ของผมไปเปิดชอปที่ญี่ปุ่น ผมยิ่งดีใจเพราะเท่ากับว่าเราก้าวไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว”



กำธรยังบอกถึงแผนการทำตลาดสินค้า”คาริสซ่า”อีกว่า หลังจากนี้เขาจะไปเจาะตลาดเมืองจีน ในส่วนของบริษัท ศรีราชา โมด้า ก็จะพัฒนาการผลิตต่อไปเพื่อสู้ตลาดยุโรป และเขายังส่งน้องชายไปศึกษาปริญญาตรีด้ายจระเข้เพื่อนำมาต่อยอดผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ

“ที่กำลังคิดพัฒนาตอนนี้มีอยู่ 10 กว่าโครงการ โชคดีที่น้องชายผมเขาเชี่ยวชาญเรื่องจระเข้มาช่วยก็เลยรู้ว่าจระเข้เป็นสัตว์ที่มีคุณค่ามาก ผลิตสินค้าได้หลายกลุ่ม ทั้งแฟชั่น กลุ่มยาบำรุงร่างกาย เช่น เลือดจระเข้เราก็สกัดมาทำยาบำรุงสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อง่าย ร่างกายอ่อนแอ ส่วนไขมันก็เอามาสกัดทำบาล์ม ใช้ทาแก้ผื่น, อุ้งเท้า กับหางจระเข้ เมืองจีนสั่งเอาไปทำอาหารบำรุง”



นานกว่า 20 ปีที่ กำธร เต็มศิริพงศ์ บ่มเพาะประสบการณ์ในการสร้างสรรค์ผลผลิตจากจระเข้ เขารู้สึกรักและรู้ซึ้งถึงบุญคุณของจระเข้ เพราะทุกอณูของจระเข้ นอกจากจะสร้างชื่อเสียงและรายได้ให้เขากับคนงานแล้ว สัตว์เลื้อยคลานที่น่ากลัวตัวนี้ยังให้สิ่งดีๆกับลูกค้าของเขาอีกด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น