By Lady Manager
กระแส “ร้อยไหม” เนาหน้า มาแรงแซงนวัตกรรมบิวตี้หน้าเด้งตัวอื่นก้าวกระโดดแบบกินขาด!
บ้างก็คิดไปเองว่า การร้อยไหมทำให้หนังหน้าตึงเปรี๊ยะ ทำจมูกเชิด ริ้วรอยเหี่ยวย่นหายวับ กระชากแก่ออกไปจากหนังหน้า บอกลาหน้าอาม่าไปอีกหลายปี
แน่นอน! ฮอตฮิตส่งตรงมาจากแดนกิมจิ ดินแดนที่สาวไทยกรี๊ดกร๊าดกับนวัตกรรมบิวตี้กันนัก แต่..สาวไทยอย่างเราต้องได้ข้อมูล ข้อเท็จจริงกันก่อนจะทำ เพราะการร้อยไหมนั้น “แพง” และเสียววาบจากปลายแหลมด้วยเข็มที่แทงจึ๊กลงไปบนหน้า ดั่งเช่นการเย็บผ้า หรือเนาผ้า
อยากสวยแบบไม่โง่ ต้องฉลาดฉกฉวยหาข้อมูลด้วยนะจ๊ะ
อ๊ะ! งั้นเราขอเก็บตกข้อมูลมาจากงานสัมมนาของสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย โดยทางสมาคมฯ ได้เล็งเห็นความสำคัญในการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อเป็นประโยชน์แก่ประชาชน จึงจัดงานแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับแพทย์ และผู้ที่สนใจการยกกระชับผิวด้วยวิธีการดังกล่าว ภายใต้หัวข้อ “ร้อยไหม ไขความจริง”
“การร้อยไหมเพื่อยกกระชับใบหน้ามีมาตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว โดยต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศเกาหลี เพราะมีความเชื่อว่าการสอดไหมเข้าไปในผิวหนังจะกระตุ้นให้ผิวสร้างเส้นใยคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ตามแนวการสอด ซึ่งเส้นใยคอลลาเจนใหม่จะช่วยให้ผิวบริเวณดังกล่าวกระชับขึ้น” ศ.นพ.วรพงษ์ มนัสเกียรติ ประธานคณะอนุกรรมการประเมินและติดตามประสิทธิภาพเครื่องมือทางการแพทย์ และหัตถการโรคผิวหนัง และกรรมการอำนวยการ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าว
“สำหรับไหมที่นำมาใช้มี 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดมีเงี่ยง (barb) โดยตัวเงี่ยงจะทำหน้าที่เสมือนหมุดยึดตรึงให้ไหมอยู่กับที่ ส่วนชนิดที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบันเป็นไหมชนิดไม่มีเงี่ยง (non-barb) ซึ่งมีทั้งแบบที่สามารถสลายหรือละลายตัวเองได้ กับชนิดที่ไม่สามารถสลายตัวเองได้
ไหมชนิดไม่มีเงี่ยงที่ใช้ในปัจจุบันมักผลิตจากสาร “โพลีไดออกซาโนน (Polydioxanone) หรือ PDO ซึ่งสามารถละลายตัวเองได้ภายใน 6-8 เดือน”
คุณหมอบอกด้วยว่า การร้อยไหมชนิดมีเงี่ยงจะทำให้การยึดติดดีขึ้น แต่ไหมแบบไม่มีเงี่ยงจะสามารถสลายได้ภายใน 6-8 เดือน จึงเป็นที่นิยมของคนอายุ 30-60 ปี โดยจะไปใช้บริการตามคลินิกทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย เนื่องจากตามโรงพยาบาลไม่มีให้บริการเพราะยังไม่ได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยา (อย.) แถมการร้อยไหมอาจมีราคาสูง แพงหูฉี่ถึงเส้นละ 1,000 บาท เชียวแน่ะ! แล้วคิดดูซิ ใช้ตั้งกี่เส้นถึงจะหน้าตึง รอยย่นหาย!
“วิธีการร้อยไหมนั้นแพทย์จะทำการฉีดยาชาก่อน หลังจากนั้นก็นำเข็มร้อยกับไหมชนิดมีเงี่ยงและสอดเข็มเข้าไปบริเวณชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ส่วนชนิดไม่มีเงี่ยงสอดเข็มในระดับที่ไม่ลึกมาก
การร้อยไหมส่งผลข้างเคียงถึงขั้นเกิดรอยบุ๋มของผิวหนัง เป็นรอยนูนแดงตามรอยเส้นไหมและผิวหนังสองข้างกระชับไม่เท่ากัน ใบหน้าผิดรูป ทั้งนี้ยังไม่มีใครออกมายืนยันได้ถึงผลกระทบระยะยาวในการร้อยไหม และไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) จึงอยากให้ใช้วิธีการรักษารอยเหี่ยวย่นวิธีอื่นดีกว่า
วิธีการร้อยไหมชนิดมีเงี่ยง จะสอดไหมเข้าบริเวณผิวหนังที่ต้องการยกกระชับ ในความลึกระดับชั้นไขมันใต้ผิวหนัง โดยใช้ไหมเพียง 2-3 เส้น
ส่วนการร้อยไหมชนิดไม่มีเงี่ยง ไหมจะถูกสอดในระนาบแนวความลึกของชั้นหนังแท้ มักใช้เส้นไหมขนาดความยาว 2.5-6 เซนติเมตร จำนวน 20 ถึง กว่าร้อยเส้นการสอดไหมในระนาบนี้ต้องอาศัยทักษะความชำนาญและประสบการณ์ของแพทย์
หลังการร้อยไหมผิวจะมีอาการบวมแดงและมีรอยช้ำตามแนวการสอดไหม และจะค่อยๆ หายไปใน 1-2 สัปดาห์
ในปัจจุบันยังไม่มีการรับรองการร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิวในประเทศไทย, สหรัฐอเมริกา หรือประเทศในทวีปยุโรป และยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ทางการแพทย์ยืนยันอีกด้วย”
คุณหมอวรพงษ์ บอกต่อว่า “การที่ผิวเกิดบาดแผล ร่างกายก็จะมีการสร้างคอลลาเจนมาทดแทนส่วนเดิมที่หายไป และเลือดหมุนเวียนมากขึ้นอยู่แล้ว ส่วนผลลัพธ์ที่เห็นว่าผิวหนังเต่งตึงยกกระชับขึ้นนั้น อาจเกิดจากอาการอักเสบและระบมของผิวหนังก็เป็นได้”
ผลข้างเคียงของการร้อยไหมชนิดมีเงี่ยงที่เคยมีผู้รายงานไว้ได้แก่ การเกิดผิวหนังบวมแดงเนื่องจากอาการแพ้ไหม การเห็น คลำเจอปมไหม ปลายไหมโผล่ หรือการเกิดรอยบุ๋มของผิวหนัง ผิวหนังสองข้างของใบหน้ากระชับไม่เท่ากัน และยังไม่มีการรายงานผลข้างเคียงของการร้อยไหม PDO ชนิดไม่มีเงี่ยงในวารสารทางการแพทย์
แต่จากการสอบถามข้อมูลจากแพทย์ผิวหนัง พบว่ามีผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ด้วยอาการเป็นเส้นนูนแดงตามแนวเส้นไหม ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากอาการแพ้ไหม และผู้ป่วยบางรายคลำเจอปมไหมด้วย” คุณหมอวรพงษ์ ย้ำ
ส่วนผู้ที่สนใจการร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิว ควรตระหนักถึงข้อดีข้อเสียที่จะตามมา และขอคำปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจเข้ารับการรักษา โดยเฉพาะวัยรุ่นที่ห่วงความสวยและอยากทำอะไรเกิดความจำเป็นสำหรับวัยตัวเอง ก็อาจส่งผลเสียมากกว่าได้ คุณหมอเตือนบรรดาสาวๆ ผู้ปรารถนาอยากมีใบหน้าเต่งตึงแต่ไร้ข้อมูลข้อเท็จจริงปิดท้าย
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
กระแส “ร้อยไหม” เนาหน้า มาแรงแซงนวัตกรรมบิวตี้หน้าเด้งตัวอื่นก้าวกระโดดแบบกินขาด!
บ้างก็คิดไปเองว่า การร้อยไหมทำให้หนังหน้าตึงเปรี๊ยะ ทำจมูกเชิด ริ้วรอยเหี่ยวย่นหายวับ กระชากแก่ออกไปจากหนังหน้า บอกลาหน้าอาม่าไปอีกหลายปี
แน่นอน! ฮอตฮิตส่งตรงมาจากแดนกิมจิ ดินแดนที่สาวไทยกรี๊ดกร๊าดกับนวัตกรรมบิวตี้กันนัก แต่..สาวไทยอย่างเราต้องได้ข้อมูล ข้อเท็จจริงกันก่อนจะทำ เพราะการร้อยไหมนั้น “แพง” และเสียววาบจากปลายแหลมด้วยเข็มที่แทงจึ๊กลงไปบนหน้า ดั่งเช่นการเย็บผ้า หรือเนาผ้า
อยากสวยแบบไม่โง่ ต้องฉลาดฉกฉวยหาข้อมูลด้วยนะจ๊ะ
อ๊ะ! งั้นเราขอเก็บตกข้อมูลมาจากงานสัมมนาของสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย โดยทางสมาคมฯ ได้เล็งเห็นความสำคัญในการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อเป็นประโยชน์แก่ประชาชน จึงจัดงานแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับแพทย์ และผู้ที่สนใจการยกกระชับผิวด้วยวิธีการดังกล่าว ภายใต้หัวข้อ “ร้อยไหม ไขความจริง”
“การร้อยไหมเพื่อยกกระชับใบหน้ามีมาตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว โดยต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศเกาหลี เพราะมีความเชื่อว่าการสอดไหมเข้าไปในผิวหนังจะกระตุ้นให้ผิวสร้างเส้นใยคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ตามแนวการสอด ซึ่งเส้นใยคอลลาเจนใหม่จะช่วยให้ผิวบริเวณดังกล่าวกระชับขึ้น” ศ.นพ.วรพงษ์ มนัสเกียรติ ประธานคณะอนุกรรมการประเมินและติดตามประสิทธิภาพเครื่องมือทางการแพทย์ และหัตถการโรคผิวหนัง และกรรมการอำนวยการ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าว
“สำหรับไหมที่นำมาใช้มี 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดมีเงี่ยง (barb) โดยตัวเงี่ยงจะทำหน้าที่เสมือนหมุดยึดตรึงให้ไหมอยู่กับที่ ส่วนชนิดที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบันเป็นไหมชนิดไม่มีเงี่ยง (non-barb) ซึ่งมีทั้งแบบที่สามารถสลายหรือละลายตัวเองได้ กับชนิดที่ไม่สามารถสลายตัวเองได้
ไหมชนิดไม่มีเงี่ยงที่ใช้ในปัจจุบันมักผลิตจากสาร “โพลีไดออกซาโนน (Polydioxanone) หรือ PDO ซึ่งสามารถละลายตัวเองได้ภายใน 6-8 เดือน”
คุณหมอบอกด้วยว่า การร้อยไหมชนิดมีเงี่ยงจะทำให้การยึดติดดีขึ้น แต่ไหมแบบไม่มีเงี่ยงจะสามารถสลายได้ภายใน 6-8 เดือน จึงเป็นที่นิยมของคนอายุ 30-60 ปี โดยจะไปใช้บริการตามคลินิกทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย เนื่องจากตามโรงพยาบาลไม่มีให้บริการเพราะยังไม่ได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยา (อย.) แถมการร้อยไหมอาจมีราคาสูง แพงหูฉี่ถึงเส้นละ 1,000 บาท เชียวแน่ะ! แล้วคิดดูซิ ใช้ตั้งกี่เส้นถึงจะหน้าตึง รอยย่นหาย!
“วิธีการร้อยไหมนั้นแพทย์จะทำการฉีดยาชาก่อน หลังจากนั้นก็นำเข็มร้อยกับไหมชนิดมีเงี่ยงและสอดเข็มเข้าไปบริเวณชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ส่วนชนิดไม่มีเงี่ยงสอดเข็มในระดับที่ไม่ลึกมาก
การร้อยไหมส่งผลข้างเคียงถึงขั้นเกิดรอยบุ๋มของผิวหนัง เป็นรอยนูนแดงตามรอยเส้นไหมและผิวหนังสองข้างกระชับไม่เท่ากัน ใบหน้าผิดรูป ทั้งนี้ยังไม่มีใครออกมายืนยันได้ถึงผลกระทบระยะยาวในการร้อยไหม และไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) จึงอยากให้ใช้วิธีการรักษารอยเหี่ยวย่นวิธีอื่นดีกว่า
วิธีการร้อยไหมชนิดมีเงี่ยง จะสอดไหมเข้าบริเวณผิวหนังที่ต้องการยกกระชับ ในความลึกระดับชั้นไขมันใต้ผิวหนัง โดยใช้ไหมเพียง 2-3 เส้น
ส่วนการร้อยไหมชนิดไม่มีเงี่ยง ไหมจะถูกสอดในระนาบแนวความลึกของชั้นหนังแท้ มักใช้เส้นไหมขนาดความยาว 2.5-6 เซนติเมตร จำนวน 20 ถึง กว่าร้อยเส้นการสอดไหมในระนาบนี้ต้องอาศัยทักษะความชำนาญและประสบการณ์ของแพทย์
หลังการร้อยไหมผิวจะมีอาการบวมแดงและมีรอยช้ำตามแนวการสอดไหม และจะค่อยๆ หายไปใน 1-2 สัปดาห์
ในปัจจุบันยังไม่มีการรับรองการร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิวในประเทศไทย, สหรัฐอเมริกา หรือประเทศในทวีปยุโรป และยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ทางการแพทย์ยืนยันอีกด้วย”
คุณหมอวรพงษ์ บอกต่อว่า “การที่ผิวเกิดบาดแผล ร่างกายก็จะมีการสร้างคอลลาเจนมาทดแทนส่วนเดิมที่หายไป และเลือดหมุนเวียนมากขึ้นอยู่แล้ว ส่วนผลลัพธ์ที่เห็นว่าผิวหนังเต่งตึงยกกระชับขึ้นนั้น อาจเกิดจากอาการอักเสบและระบมของผิวหนังก็เป็นได้”
ผลข้างเคียงของการร้อยไหมชนิดมีเงี่ยงที่เคยมีผู้รายงานไว้ได้แก่ การเกิดผิวหนังบวมแดงเนื่องจากอาการแพ้ไหม การเห็น คลำเจอปมไหม ปลายไหมโผล่ หรือการเกิดรอยบุ๋มของผิวหนัง ผิวหนังสองข้างของใบหน้ากระชับไม่เท่ากัน และยังไม่มีการรายงานผลข้างเคียงของการร้อยไหม PDO ชนิดไม่มีเงี่ยงในวารสารทางการแพทย์
แต่จากการสอบถามข้อมูลจากแพทย์ผิวหนัง พบว่ามีผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ด้วยอาการเป็นเส้นนูนแดงตามแนวเส้นไหม ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากอาการแพ้ไหม และผู้ป่วยบางรายคลำเจอปมไหมด้วย” คุณหมอวรพงษ์ ย้ำ
ส่วนผู้ที่สนใจการร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิว ควรตระหนักถึงข้อดีข้อเสียที่จะตามมา และขอคำปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจเข้ารับการรักษา โดยเฉพาะวัยรุ่นที่ห่วงความสวยและอยากทำอะไรเกิดความจำเป็นสำหรับวัยตัวเอง ก็อาจส่งผลเสียมากกว่าได้ คุณหมอเตือนบรรดาสาวๆ ผู้ปรารถนาอยากมีใบหน้าเต่งตึงแต่ไร้ข้อมูลข้อเท็จจริงปิดท้าย
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net