xs
xsm
sm
md
lg

ณัฐพล สารสาส หนุ่มรุ่นใหม่ที่ หลงใหลของ“วินเทจ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>ภาพของ “ณัฐ สารสาส” สำหรับหลายคนคงคล้ายๆ กันคือไฮโซหนุ่มผู้มีคาแรกเตอร์และวิธีคิดที่ชัดเจนในแบบฉบับเฉพาะตัวมากที่สุดในสังคมยุคนี้ ภาพของหนุ่มที่มักจะมาพร้อมแว่นตาทรงคลาสสิกกับเสื้อผ้าอันเป็นเอกลักษณ์ที่เขาจำกัดนิยามว่า“แต่งตัวเพื่อให้คนอื่นสบายใจ”
เบื้องหลังของคาแรกเตอร์อันชัดเจนที่คุ้นสายตาพวกเรานั้น เชื่อหรือไม่ว่าเสื้อผ้าที่หนุ่มณัฐใส่ในแต่ละวันคือวินเทจแท้ๆ เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ “เสื้อผ้าพวกนี้ผมซื้อมาแล้วใส่ทุกชิ้น ไม่มีมาเก็บแน่นอน” จะว่าไปแล้วณัฐใช้ชีวิตกับเสื้อผ้าวินเทจของเขามากพอๆ กับงานที่เขาทำ แต่น้อยกว่าครอบครัวที่เขารักไม่เท่าไหร่ และเสื้อผ้าบางชิ้นเขายังผูกพันมากกว่าผู้หญิงบางคนที่เคยวนเวียนมาในชีวิตเขาด้วยซ้ำไป

:: วินเทจมาตั้งแต่วัยรุ่น

บางคนอาจจะบอกว่าต้องรอให้ถึงช่วงอายุหนึ่งจึงจะเริ่มมองหาของวินเทจหรือของย้อนยุคที่ตัวเองต้องการ แต่วินเทจเริ่มเข้ามาในชีวิตของณัฐตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น “สักประมาณช่วงอายุ 16 ปี การที่เราต้องไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็ก พอขึ้นระดับไฮสกูลหรือมัธยม มันก็มีความคิดถึงบรรยากาศสมัยเด็กๆ ที่เราอยู่กับแม่ตลอด คิดถึงเพลงที่แม่ร้องให้ฟัง หนังสือเก่าๆ ที่แม่เคยให้เราอ่าน ซึ่งมันก็ถือว่าเป็นของวินเทจอีกรูปแบบหนึ่ง และผมก็เสาะหาสิ่งเหล่านั้นมาให้ตัวเอง พอเราฟังเพลงเก่า ดูหนังสือเก่า เราก็ได้เห็นภาพของดารานักร้องดังๆ ในยุคเก่า และสิ่งที่ตามมาก็คือแฟชั่น เสื้อผ้าของพวกเขาที่เราอยากจะใส่ตามบ้าง”

หลังจากฟังเพลงเก่า อ่านหนังสือเก่า ดูหนังเก่าได้ประมาณหนึ่งปี หนุ่มณัฐก็เริ่มเสาะหาเสื้อผ้าวินเทจสำหรับตัวเองแบบเป็นชิ้นเป็นอัน “ผมเริ่มจากสิ่งที่คิดว่ามันคลาสสิก คืออยู่ได้นาน และยิ่งนานก็ยิ่งมีคุณค่า จำได้ว่าชิ้นแรกๆ ที่ซื้อเป็นกางเกงยีนส์ลีวายส์ บิ๊กอี และเป็นชิ้นที่แพงที่สุดชิ้นหนึ่งคือ 15,000 บาท คือถ้ามองเงินหมื่นห้าสำหรับบางคนเขาอาจจะบอกว่าไม่มาก แต่ลองคิดถึงมูลค่าเงินในยุคนั้นและตอนนั้นผมอายุแค่ 17 หมื่นห้ามันจึงเป็นอะไรที่เรียกว่าโหดมาก!!”

แต่การลงทุนหมื่นห้าครั้งนั้นไม่เสียเปล่าเลย แถมยังทำให้เขาได้ความมั่นใจและความภูมิใจเพิ่มอีกด้วย การได้รับคำชมกางเกงยีนส์ตัวเก่งจากหนึ่งในสมาชิกวงคาราบาว “ผมจำได้ว่าตอนอยู่ที่สนามบิน มีหนึ่งในสมาชิกวงคาราบาว เดินเข้ามาจับแขนผมแล้วบอกว่า กางเกงน้องนี่สวยจริงๆ ตอนนั้นคิดดูว่าผมอายุแค่ 17 แล้วได้รับคำชมอย่างนั้นมันทำให้เรายิ่งมั่นใจ ยิ่งชอบในของวินเทจมากขึ้น”

:: รักวินเทจ ชอบวินเทจ จาก DNA

อย่างสำนวนของฝรั่งที่พูดว่า “Like Father Like Son” หรือแปลเป็นไทยง่ายๆ ว่า “พ่อเป็นอย่างไรลูกก็เป็นอย่างนั้น” คงยืนยันได้จากกรณีของณัฐเช่นเดียวกัน “คุณพ่อ (ชินเวช สารสาส) ท่านก็เป็นคนชอบเก็บของเก่า แต่ของเก่าของท่านจะเป็นแนวพระเก่า พรมเก่า ส่วนผมจะเป็นเสื้อผ้าเก่า หนังเก่า งานศิลปะเก่า แต่มีช่วงหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจพ่อว่าจะเก็บไปทำไมพรมเก่า ของใหม่ไม่ดีกว่าหรือ? และพ่อก็ไม่เข้าใจผมเหมือนกันว่า จะไปหาเสื้อผ้าเก่าๆ ทำไมกัน ซื้อของใหม่ไม่ดีกว่าหรือ? แต่พอช่วงเวลาผ่านไป ผมเริ่มโตขึ้น ผมก็ชักสนใจพระเครื่องคล้ายๆ พ่อ ทำให้เราเข้าใจกันว่าสิ่งที่เราสะสมนั้นมันมีเหตุผลอะไร”

:: ณัฐ สารสาส ตะลุยตลาดคลองหลอด

แน่นอนว่าของวินเทจย่อมไม่มีขายในห้างสรรพสินค้า หรือตามร้านแบรนด์เนมต่างๆ แบบปรกติ แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบและสะสมย่อมต้องขวนขวายเสาะหาแหล่งที่สินค้าวินเทจเหล่านี้ไปวางอยู่ อย่างเมืองไทยเราที่ดังๆ ก็จะมีตั้งแต่ตลาดคลองหลอด ตลาดสะพานพุทธ และตลาดนัดสวนจตุจักร และรายชื่อตลาดเหล่านี้ หนุ่มไฮโซของเราก็บุกลุยฝ่าหาของวินเทจด้วยตัวเองมาแล้วทั้งสิ้น

“ตอนกลับเมืองไทยใหม่ๆ ผมก็มานั่งคิดนั่งสืบหาดูว่า ในบ้านเรามันจะมีแหล่งของวินเทจที่ไหนบ้าง สมัยก่อนที่ดังๆ ก็จะมีแถวบริเวณคลองหลอด สะพานพุทธ และจตุจักร ผมก็ไปถึงที่เลย เดินเอง หาเอง เลือกเอง นั่งคุยกับเจ้าของร้านสองสามชั่วโมงกว่าจะได้ของสักชิ้น แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้ไปเดินแล้ว เพราะตอนนี้มันกลายเป็นตลาดของใหม่ใช้แล้ว และของใหม่ทำเก่าไปเกือบหมด เราไปก็จะต้องเสี่ยงกับรูปแบบตาดีได้ ตาร้ายเสีย”

:: เพื่อนคือตลาดวินเทจที่ดีที่สุด

เมื่อตลาดที่เคยเสาะหาของไม่มีของที่ต้องการอีกต่อไป และรูปแบบการซื้อหาของแต่ละชิ้น หนุ่มณัฐบอกว่าไม่ได้เป็นพวกบ้าทุ่มซื้อ หรือต้องบินไปประมูลของอะไรมา ดังนั้น การฝากให้เพื่อนๆ หรือคนรู้จักช่วยมองหาของวินเทจที่ต้องการดูจะเป็นตลาดวินเทจที่ดีที่สุดของเขาไปโดยปริยาย

“โชคดีอย่างหนึ่งคือผมมีเพื่อน ที่เป็นเพื่อนจริงๆ สนิทสนมอยู่ทั่วโลก เพราะเราไม่รู้ว่าไอ้ของบางอย่างที่เราต้องการ ณ ชั่วเวลานั้นมันจะไปอยู่มุมไหนของโลกบ้าง ก็ช่วยได้เยอะ พอเราได้บอกพวกเขาไว้ ว่าเราอยากได้อะไร ถ้าหากเพื่อนๆ ผมเห็น หรือเจอของที่คิดว่าผมจะต้องชอบเขาก็จะมาบอก หรือถ้าบางอย่างเขามีอยู่แล้วก็จะมีทั้งขายต่อ หรือยกให้ฟรีๆ ก็มี”

:: เกือบ 20ปี กับวินเทจทุ่มไปแล้วมากกว่าสิบล้าน
หนุ่มณัฐบอกว่าเสน่ห์ของวินเทจ คือ “คุณค่า” และ ”เรื่องราว” ในของแต่ละชิ้น ที่ทำให้เขาตกลงใจจับจ่ายซื้อหาเพื่อเป็นเจ้าของ โดยเฉพาะตั้งแต่หัวจรดเท้า ไล่ตั้งแต่หมวก แว่นตา เสื้อยืด แจ๊กเกต กางเกง ไปจนถึงรองเท้า

“ตั้งแต่อายุ 16 จนปีนี้ผมจะอายุ 34 ก็เกือบๆ ยี่สิบปีที่ผมซื้อเสื้อผ้าวินเทจมาตลอดถ้าให้ลองคำนวนคร่าวๆ ก็ยอมรับว่า ถึงหลักสิบล้าน เพราะผมซื้อทั้งตลาดในเมืองไทย และตลาดเมืองนอก เวลาเดินทางไปไหนก็จะหาของวินเทจที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศนั้นๆ กลับมาตลอด อย่างผมไปตูนิเซียก็ไปซื้อผ้าโพกหัวแบบคนพื้นเมืองกลับมาใส่”

:: วินเทจ “หล่อตรงไหน!?” สำหรับณัฐ สารสาส

“คือตอนนี้ที่คนคิดกันว่าหล่อ หรือเท่ มันคงมาจากกระแสที่กำลังมาแรงมากกว่า แต่ด้วยตัววินเทจเองมันไม่ได้หล่อที่รูปลักษณ์ที่มองเห็นแล้วสะดุดตา หรือมองเห็นครั้งแรกแล้วชอบเลย แต่มันอยู่ที่เรื่องราวเนื้อหาเบื้องหลัง ความคลาสสิกของมัน และคุณค่าที่เรามองเห็นมากกว่า สำหรับผมถ้าจะแต่งตัววินเทจเพราะตามกระแสอย่าแต่งดีกว่า เพราะผมคิดว่าถ้าคนเราพยายามจะหล่อ มันไม่หล่อหรอก แต่ถ้าแต่งด้วยความจริงใจ ความชอบจากเนื้อแท้ นั่นแหละจะทำให้คุณหล่อ”

:: เก็งกำไรเชิงคุณค่าวินเทจในอนาคต

นอกจากเสื้อผ้าวินเทจแล้ว เสื้อผ้าอีกแนวหนึ่งที่หนุ่มณัฐชอบมาก นั่นคือ บรรดาเครื่องแต่งกายที่บ่งบอกเอกลักษณ์ของท้องถิ่นนั้นๆ เพราะเขามองว่า เสื้อผ้าที่ทำขึ้นมาเป็นของประจำท้องถิ่น ทั้งเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิม หรือ เครื่องแต่งกายสมัยใหม่ที่มีการระบุสถานที่นั้นๆ อยู่ ล้วนสร้างขึ้นมาด้วยความตั้งใจ และมีเรื่องราว ซึ่งคุณสมบัติสองอย่างนี้คือคุณสมบัติแบบเดียวกับเสื้อผ้าวินเทจที่เขาชื่นชอบ และเมื่อเวลาผ่านไป พวกเสื้อผ้าพวกนั้นจะกลายเป็นของวินเทจที่น่าสะสมในอนาคต

วินเทจอาจเป็นเพียงแฟชั่นตามกระแสของหลายๆ คน วินเทจอาจหมายถึงเพียงแค่ของมือสองสำหรับบางคน แต่วินเทจสำหรับหนุ่มณัฐพล สารสาส มันไม่ใช่เพียงแค่สิ่งของ ไม่ใช่เพียงแค่ของเก่าเก็บ แต่มันคือเรื่องราวที่มีคุณค่า ที่หนุ่มไฮโซคนนี้ค่อยๆ ตามหาและได้มาอย่างใจเย็น มันคือความรัก ความชอบ และความผูกพันอีกรูปแบบหนึ่ง ที่แสดงออกมาให้เราเห็น

วินเทจในสไตล์ ณัฐ

>> ของมือสองกับของวินเทจต่างกันอย่างสิ้นเชิง

หนุ่มณัฐอธิบายให้เราได้เข้าใจว่า ของมือสองกับของวินเทจนั้นไม่เหมือนกันอย่างไร “ของมือสอง” ง่ายๆ ก็คือของที่คนใช้แล้ว ของใช้แล้วยิ่งใช้ยิ่งราคาตกแต่ของที่เป็นวินเทจคือ ของที่ “ยิ่งเก่ายิ่งมีราคา”

>> His List

แว่นตา :: เพราะที่เป็นคนสายตาสั้นมาตั้งแต่เด็ก แว่นตาจึงเป็นเครื่องแต่งกายชิ้นสำคัญที่ขาดไม่ได้ แม้จะเข้ารับการทำเลสิกมาแล้ว แต่หนุ่มณัฐก็ยังสะสมแว่นตาทั้งแว่นสายตาและแว่นกันแดดมาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันนี้เขามีแว่นตาและแว่นกันแดดของตัวเองมากกว่า 80 ชิ้น และยิ่งไปกว่านั้นในชีวิตประจำวันโดยปกติหนุ่มณัฐจะพกแว่นวันหนึ่งอย่างน้อย 6 อัน และถ้าหากวันไหนต้องเดินทางก็จะพกอย่างน้อย 10 อันขึ้นไป เพราะแว่นตาคือเครื่องประดับที่สามารถเปลี่ยนคาแรกเตอร์ได้ง่ายที่สุด

แจ็กเกตยีนส์ :: ยีนส์มีความคลาสสิกในตัวของมันเอง และแจ็กเกตยีนส์ก็เป็นเครื่องแต่งกายที่ดูคลาสสิก และเท่ตลอดกาล เป็นอีกหนึ่งชิ้นที่ติดตัวตลอดเวลาโดยเฉพาะแจ็กเกตยีนส์ลีวายส์ที่หนุ่มณัฐติดตัวไปด้วย แม้แต่การเดินทางไปร่วมงานพิธีอภิเษกสมรสของกษัตริย์จิกมี่ แห่งภูฏาน ซึ่งวันนี้เขายังติดเข็มกลัดที่ระลึกจากงานนั้นอยู่บนแจ็กเกตตัวโปรดอีกด้วย

รองเท้า :: รองเท้าวินเทจที่หนุ่มณัฐเลือกนั้นจะเป็นประเภท “Dead Stock” หรือเก่าเก็บเท่านั้น นั่นคือเป็นของเก่า แต่ไม่เคยผ่านการสวมใส่มาก่อน

เสื้อยืด :: เสื้อยืด วินเทจ ไม่เหมือนเสื้อยืดปัจจุบัน ทั้งการตัดเย็บ การฟอกเนื้อผ้า ที่ทำให้เสื้อยืดวินเทจสวมแล้วจะรู้สึกสบายกว่าเสื้อยืดสมัยนี้อย่างมาก หนุ่มณัฐเคยพยายามนำเสื้อยืดวินเทจของเขาไปติดต่อโรงงานผลิตเสื้อยืดในเมืองไทยหลายโรงงานแล้วแต่ก็ไม่มีโรงงานใดทำได้แบบดั้งเดิมแม้แต่โรงงานเดียว :: Text by FLASH.



 
>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net หรือ App Store ได้แล้วที่ celeb online ipad edition


กำลังโหลดความคิดเห็น