xs
xsm
sm
md
lg

อารยา อินทรา...สิ่งที่ฉันเป็น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
     เย็นย่ำวันหนึ่ง แฟชั่นโชว์ที่มีกำหนดจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้วในอีกไม่กี่อึดใจ แต่ทีมงานทุกๆ ฝ่าย ยังคงจดจ่อกับการตระเตรียมงานเบื้องหลัง สตาฟยังเฝ้าเช็คเครื่องเสียงอย่างคร่ำเคร่ง นายแบบหลายสิบคนยังคงขะมักเขม้นกับการซ้อมเดินแบบ แต่ในท่ามกลางความมุ่งมั่นทุ่มเทของทุกคนในที่นั้น เธอคนหนึ่ง...เปล่งประกาย เฉพาะตัวบางอย่างที่ไม่อาจละสายตา

 
     คงไม่ใช่แค่เพราะอายไลน์เนอร์คมกริบที่กรีดวาดไว้รอบขอบตาหรือชุดสีดำยกไหล่สูงอย่างมาดมั่น
     ไม่ใช่แค่เพราะ 'คำสั่ง' อันเปรียบเสมือนประกาศิตที่นายแบบหน้าละอ่อนทุกคนในที่นั้นต้องปฏิบัติตาม
     “ครูครับพวกผมต้องตัดผมด้วยเหรอ?” นายแบบ 2-3 คน ตะโกนเอ่ยถามอย่างคุ้นเคย
     “ต้องตัดสิ ก่อนหน้านี้ก็บอกไว้แล้วว่านายแบบทุกคนต้องตัดผม ต้องทำทรงผมตามที่ช่างบอก ห้ามมีปัญหา”
 
     แน่ล่ะ แม้จะมีความเป็นกันเอง แต่เธอบอกคำไหน ต้องเป็นคำนั้น
     ราวกับว่าเธอมีอำนาจบางอย่างที่ทำให้ผู้คนที่อยู่รายรอบ...พร้อมจะรับฟังในสิ่งที่เธอบอกกล่าว

 
     เปล่าเลย มันไม่ใช่ความหวาดกลัวในอายุงานของเธอที่เป็นถึงระดับซีเนียร์ในวงการแฟชั่น
     ไม่ใช่การยอมจำนนตามบทบาทหน้าที่ ไม่ใช่เพราะความเกรงอกเกรงใจ แต่อาจเป็นเพราะ...คำแนะนำ ติติง วิเคราะห์วิจารณ์เรื่องเสื้อผ้าหน้าผมที่ได้รับจากเธอคนนี้ คล้ายเป็นคำการันตีที่เชื่อใจได้ ราวกับเธอเป็นคัมภีร์แฟชั่นที่มีลมหายใจ เป็นคัมภีร์เดินได้ บางคนถึงขั้นเปรียบเปรยให้เธอเป็น 'โว้ค' มีชีวิต
 
      ก็แม้แต่ในขณะพูดคุยกับคู่สนทนาคนหนึ่ง นางเอกและนักร้องคุณภาพชื่อดังของวงการบันเทิงไทย ยังโทรศัพท์มาปรึกษาเธอเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม เพียงแค่เพราะนักร้องคนนั้นกำลังจะต้องไปถ่ายรูปทำบัตรประชาชนครั้งใหม่และต้องการคำปรึกษาว่า ทำอย่างไร หญิงสาวจึงจะถ่ายรูปติดบัติแล้วดู 'เป๊ะ' ที่สุด!
 
     เจ้าแม่แฟชั่นเจ้าของอายไลน์เนอร์คนกริบดำขลับคนนี้คือใคร? ผู้คนจึงปรารถนาคำชี้แนะเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมจากเธอ
 
     อารยา อินทรา หรืออาร์ต คือชื่อเสียงเรียงนามของเธอ สไตลิสต์มากความสามารถที่ยืนหยัดอยู่ในวงการแฟชั่นมานานนับ 25 ปี นานเนิ่นจนผู้คนไม่น้อยให้ความเคารพ ให้เกียรติ และนับถือเธอเป็น 'ครู'
     ในวันวัยที่ผันผ่านและพบเห็นเรื่องราวต่างๆ ของวงการแฟชั่นมามากมาย ประสบการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่มีทั้งแสนสนุกและเหน็ดเหนื่อยหลอมรวมเป็นความทรงจำที่เปี่ยมสีสัน...ที่ในวันนี้ เธอยินดีบอกเล่าอย่างเต็มอกเต็มใจ ทั้งไม่ปิดบังความรู้สึกที่ว่า เริ่มอิ่มตัวกับวิชาชีพที่ผูกพันยาวนาน อนาคตอันไม่ใกล้ไม่ไกล อาจผันตัวไปเป็นอาจารย์ คอยชี้แนะลูกศิษย์ในสถาบันการศึกษาต่างๆ

 
     ทว่า เมื่อวันนี้ เธอยังคงเป็น 'ครูอาร์ต' ของเหล่านางแบบนายแบบที่เดินเฉิดฉายอยู่บนรันเวย์
มุมมองอันแหลมคมและยาวไกลในฐานะ แฟชั่นสไตลิสต์ระดับกระบี่มือหนึ่งของวงการ จึงนับเป็นมุมมองที่น่าสนใจและน่ารับฟังไม่น้อย โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ในวันที่เธอสามารถปลีกตัวจากงานอันยุ่งเหยิง แล้วสละเวลาเพื่อบอกเล่าถึงเรื่องราวเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ
 
     และถ้อยความเหล่านี้ คือคำตอบที่ครูอาร์ต-อารยา มีให้แก่หลากหลายคำถามที่คู่สนทนาหยิบยื่นให้ในเย็นย่ำวันนั้น

เอกลักษณ์ สไตล์ และตัวตนของ 'อาร์ต อารยา'
 
     เราว่าเราเป็นจิ้งจก เมื่อไปอยู่ที่ไหนเราก็เปลี่ยนสี คือเราเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ปรับเปลี่ยนตัวเองได้ ถ้าเปรียบเป็นเอ็กซ์เมนเราก็เป็นมิสทีคที่เปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ตามใจ อยากจะสวย อยากจะน่าเกลียด อยากจะเป็นใครก็ได้ เราก็ทำตัวให้กลมกลืนกับบรรยากาศ
 
     ถ้าดีไซเนอร์ต้องการอะไร เราก็จะปรับเปลี่ยนให้เป็นแบบนั้น คืออาร์ตมีลูกค้าหลายแบบ ทั้งแบรนด์ที่ทำรองเท้า เสื้อผ้า กางเกงยีนส์ เสื้อเชิ๊ต ดังนั้น ถ้าคุณอยากรู้ว่างานของเราเป็นแบบไหน สไตล์ไหน เราก็คิดว่าไปถามลูกค้าเราดีกว่า เขาน่าจะตอบได้ดีกว่าเรา หรือไม่ก็ไปถามช่างภาพที่เขาทำงานกับเรา ไปถามเขาดีกว่าว่าทำไมเขาเลือกใช้เรา แต่เท่าที่อาร์ตเคยถามนะ ช่างภาพเขาเคยบอกว่า งานของอาร์ตเป็นเฟมินีน มีความเป็นผู้หญิงมาก ก็ไม่รู้สิ ได้ยินมาแบบนี้ คือในสายตาทุกคน งานของเราจะมีความเป้นผู้หญิงมากๆ ดังนั้น ใครที่ต้องการงานแบบนี้ เขาก็จะเรียกเรา
 
     สำหรับอาร์ต แฟชั่นคือศิลปะของการดำรงชีวิต เหมือนกับที่อาร์ตแต่งตัว มันเหมือนกับเราทำแล้วมีความสุข คนที่รักแฟชั่นเขาเห็นเราแล้วเขาก็มีความสุขไปด้วย เพราะเขาได้เสพแฟชั่นไปด้วย เขาเห็นเราแล้วเขาก็อาจคิด 'เอ๊ะ ทำไมมันต้องใส่เสื้อแบบนี้ ทำไมไหล่มันเป็นแบบนี้ เวลาขยับมันขยับแล้วเป็นยังไง เออ ใส่ส้นสูงแล้วมันเมื่อยไหมลูก' หรือบางคนเขาเห็นแล้ว เขาก็อาจรู้สึก เออ มันสวยเนอะ ฉันก็อยากแต่งบ้างจัง ทำไมฉันจะดูดีบ้างไม่ได้
 
     คืออาร์ตไม่ใช่คนสวย แต่เราเป็นคนหนึ่งที่รู้จักปรุงตัวเองจนมีคาแรกเตอร์ของตัวเอง ปรุงตัวเองจนไม่ว่าไปที่ไหนทุกคนก้รู้ว่านี่คืออาร์ต อารยา แม้จะไม่แต่งหน้าทุกคนก้รู้ว่านี่คืออาร์ต อาร์ตเป็นแบบนั้น
 
     เวลาที่อาร์ตสร้างงานขึ้นมา อาร์ตไม่รู้หรอกว่าอะไรคือซิกเนเอจร์ของอาร์ต อาร์ตก็เลยหันกลับมามองตัวเอง และทำตัวเองให้เป็นซิกเนเจอร์ เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่า ซิกเนเจอร์ของอาร์ตคืออะไร อาร์ตตอบไม่ได้หรอก ให้คนอื่นตัดสินก็แล้วกัน อาร์ตไม่รู้หรอก อาร์ตตอบไม่ได้ อาร์ตรู้แค่ว่าอาร์ตเป็นแบบนี้

สไตลิสต์ เปรียบได้กับ?
 
     สมองค่ะ นี่คือคำตอบของอาร์ตนะ แต่อาร์ตไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไง บางคนเขาอาจจะคิดว่าอาชีพเราเป็นแขนเป็นขา เพราะดีไซเนอร์ส่วนใหญ่เขาก็จะบอกว่าอาร์ตเป็นแขนเป็นขาให้เขา เพราะเขาจะคิดของเขามาแล้ว และเขาก็มักจะเรียกอาร์ตว่าเป้นมือซ้ายมือขวาของเขาตลอด ซึ่งอาร์ตก็แฮบปี้ แต่ส่วนตัวอาร์ตเอง อาชีพที่อาร์ตทำ อาร์ตใช้แต่สมอง เพราะไม่มีใครจ้างอาร์ตให้อาร์ตเอาแขน ขา หน้าตา ไปใช้ในงาน เขาจ้างอาร์ตเพราะเขาต้องการสมอง ต้องการความคิดสร้างสรรค์ เขาต้องการสิ่งเหล่านั้นจากเรา

 
วันวาน วันนั้น วันนี้
 
     จุดเริ่มต้นของการเป็นสไตลิสต์ของอาร์ต คงต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนที่อาร์ตเรียนจบจากคณะมัณฑณศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้เกียรตินิยมอันดับ 2 ด้วยค่ะ จบจากศิลปากรแล้วอาร์ตก็ไปเรียนต่อด้านแฟชั่นดีไซน์ที่ปารีส เรียนจบแล้วก็ทำงานที่นั่น ชีวิตก็มีความสุขดี ราบรื่น แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจกลับเมืองไทยเพราะเราถูกโกงเงิน แต่ก็อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย
 
     เรากลับมาเมืองไทยเพื่อจะมาทำงานที่ห้องเสื้อในเมืองไทย แต่ปรากฏว่าทุกคนเห็นว่าเราน่าจะมีศักยภาพที่เหมาะกับงานด้านอื่นๆ จึงมอบหมายงานด้านอื่นๆ ให้เรา เช่น ฟลายนาว ติดต่อมาให้เราเป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ นั่นคือเราต้องสร้างสรรค์ผลงานที่ช่วยส่งเสริมการขายของเสื้อผ้า
 
     นับแต่นั้น การทำงานด้านสไตลิสต์ก็เริ่มกลายเป็นงานหลักของเรา ทำทั้งนิตยสาร โฆษณา ตั้งแต่นั้นมาอาร์ตก็ไม่ค่อยได้ทำเสื้อผ้าอีก จนอยู่มาวันหนึ่ง ปี พ.ศ. อะไรก็จำไม่ได้แล้ว อาร์ตก็ทำเสื้อผ้าของตัวเองขึ้นมา เก็บหอมรอมริบจากการเป็นสไตลิสต์นี่แหละ แล้วก็ครีเอทเสื้อผ้าของเราขึ้นมา ขายเมืองนอก ออกตามงานแฟร์ ซีซั่นแรกก็เป็นไปด้วยดี แต่ซีซั่นที่สองขาดทุน เราก็เลยเลิกเป็นดีไซเนอร์
หันกลับมาทำอาชีพสไตลิสต์ตามเดิม

 
ทั้งเหน็ดเหนื่อยและลุ่มหลง
     สิ่งที่ยากที่สุดของการเป็นสไตลิสต์เหรอ? เราต้องรู้ว่าความต้องการของดีไซเนอร์คืออะไร ความต้องการของลูกค้าคืออะไร
     ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราคลุกคลีกับดีไซเนอร์มาสักระยะ เราก็จะรู้ดีว่าดีไซเนอร์ต้องการอะไร ชอบแบบไหน แล้วเราก็ต้องนำความชอบนั้นมาตีโจทย์แตกออกไปให้มากขึ้น เช่น ถ้าดีไซเนอร์ชอบแนวโรแมนติค เราก็ต้องตีความว่าโรแมนติคของเขามันควรจะเป็นแบบไหน? จำเป็นต้องมีดอกไม้ไหม ผมนางแบบควรจะต้องตรงหรือม้วนปลายผม ต้องทำเป็นลอนไหม แสงต้องฟุ้งไหม ถ้าแสงแบบนี้ควรจะแต่งหน้าแบบไหน ซึ่งทั้งหมดก็เกิดจากการลองผิดลองถูก เรียนรู้จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา แล้วเราก็ค่อยๆ ปรับ จนถึงวันนี้ก็มีความเชี่ยวชาญระดับหนึ่ง แต่ยังไม่เก่งหรอกค่ะ เพราะเรายังต้องเรียนรู้ต่อไปอีกเรื่อยๆ
 
     เพราะฉะนั้น ความยากก็คือ การที่เราจะนำตัวตนของดีไซเนอร์กับเสื้อผ้าของเขามาตั้งเป็นโจทย์ไว้ แล้วก็นำไปบวกรวมกับอารมณ์ทั้งซ้ายทั้งขวา บวกกับ นู่น นี่ นั่น กับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว แล้วเอามารวมกัน เขย่าในเครื่องมิกเซอร์ แล้วก็ปั่นออกมาให้งานออกมาดีที่สุดนี่แหละ...คือสิ่งที่ยาก

แฟชั่น ความงาม ความนัย 
 
     สำหรับเราแฟชั่นคือศิลปะและศิลปะเป็นเรื่องของความงาม เป็นเรื่องของปัจเจกชน แต่ละคนจะมองความงามไม่เหมือนกัน ดังนั้น ถ้าอาร์ตมองความงามได้หลายแบบ อาร์ตก็สามารถที่จะเสิร์ฟ หรือบริการความงามให้ลูกค้าได้หลายๆ แบบ อาร์ตก็มีช่องทางในการทำมาหากินได้มากกว่าการที่จะมองความงามได้แบบเดียว 
   
     ความงามเป็นเรื่องของปัจเจกชน แต่ละคนมองความงามได้หลายแบบค่ะ ความงามในสายตาคนหนึ่ง อาจไม่ตรงกับอีกคน ขึ้นอยู่กับแต่ละมุมมอง 

ความเป็นไปในวันพรุ่งนี้
 
     อนาคตเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ อะไรๆ คงเปลี่ยนแปลงได้เสมอ แต่ถ้าถามความรู้สึกตอนนี้ ในเรื่องงาน อาร์ตรู้สึกว่าอาร์ตมาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว เพราะฉะนั้น ในอนาคตก็อาจผันตัวเองไปเป็นครู เป็นอาจารย์ ปีหน้าก็อาจจะรับงานสอนหนังสือมากขึ้น มากกว่างานสไตลิสต์ เพราะเราอยากปั้นคนใหม่ๆ ขึ้นมา ปั้นดีไซเนอร์ก็ได้ ปั้นสไตลิสต์ก็ได้ ปั้นใครก็ได้ที่เขาสนใจแฟชั่นจริงๆ เราอยากให้มีเด็กรุ่นใหม่ๆ ก้าวขึ้นมาประดับวงการ

 
     ทั้งหมดทั้งมวลคือความคิดและตัวตนที่เธอยอมเปิดเผยในชั่วขณะหนึ่ง
ชั่วขณะที่ความเป็นตัวเธอฉายชัดถึงสิ่งที่ชอบ สิ่งที่ใช่
     สิ่งที่เป็น 'อารยา อินทรา' อย่างแท้จริง
 
                        ..........….

                Text By : นางสาวยิปซี
                ภาพ : วรงค์กรณ์ ดินไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น