xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตที่ต้องเปลี่ยนทุกๆ 5 ปี ของ “ดร. สมศักดิ์ ชลาชล”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เมื่อไม่นานมานี้ หลายท่านคงได้ยินมาบ้างแล้ว กับข่าวคราวที่ว่า ช่างผมคนดัง อย่าง “คุณแดง - สมศักดิ์ ชลาชล” ได้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก มีดีกรีเป็น ด็อกเตอร์ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งท่ามกลางความยินดีปรีดา ก็มาพร้อมกระแสความกังขา ที่ว่า เห็นคุณสมศักดิ์ ออกงานสังคม ด้วยลุคที่เปรี้ยวจี๊ด แซ่บซ่า อยู่เสมอ แล้วคุณเค้าเอาเวลาที่ไหนไปเรียนด็อกเตอร์กันเนี้ย ?

เราจึงเดินทางมาไขข้อข้องใจกับเจ้าตัวกันซะหน่อย ซึ่งช่างผมไฮโซผู้นี้ ก็เปิดโอกาสให้เราได้ซอกแซกถาม ถึงเรื่องราวทั้งด้านการศึกษาที่หลายคนข้องใจ รวมถึงชีวิตในปัจจุบัน ที่หลายคนเริ่มบ่นคิดถึง ด้วยเพราะพักหลังมานี้ไม่ค่อยได้เจอหน้าคร่าตาในงานสังคมเล้ย

ช่างผมคนดัง เจ้าของร้าน “ชลาชล” เล่าถึงเรื่องการศึกษาให้เราฟังว่า หลังเรียนจบปริญญาโท สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์การเมือง จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาได้ระยะหนึ่ง ก็ติดสินใจศึกษาต่อระดับปริญญาเอก สาขาวิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่า กว่าจะสำเร็จการศึกษาขั้นสูงนี้ได้ ต้องเผชิญกับแรงกดดันสารพัด

“กว่าจะมาถึงวันนี้ พี่ผ่านมาเยอะ ระดับล่างติดดิน เป็นลูกจ้างเขามา จนเป็นช่างทำผมระดับท้อป ก็ยังไม่คิดว่าต้องหยุด ยังไปเรียนปริญญาโทต่อ ซึ่งตอนที่ไปเรียนปริญญาโทมีอาจารย์บางคน เขาก็บอกว่า เป็นช่างทำผมมาเรียนเหรอ โอ๊ย ! ดูถูกเราจนแทบหงายท้อง มันมีความกดดันตลอดเวลา ซึ่งมันก็เหนื่อยนะ ไหนจะเรื่องเพศ ที่เขามองเรากากบาท อาชีพช่างทำผม รวมถึง เรื่องความเว่อร์เวลาออกงานสังคม ที่เราดูบ้าๆ บอๆ แล้วจะมาเรียนระดับนี้ได้อย่างไร

คือบางคนเขามองเราผิดหมดเลย บางคนก็ไปมองว่า อยากได้ด็อกเตอร์เพราะจะได้ไม่ต้องใช้คำนำหน้าว่า ‘นาย’ โอ๊ย ! เลอะเทอะ แต่เราไม่สนใจ เพราะพี่อยู่ตรงนี้มานาน เจอเรื่องแบบนี้มาเยอะมาก จนพี่บอกกับคนใกล้ตัวหลายๆ คนเลยว่า ผิวของพี่ ตอนนี้ไฟเผายังไม่รู้สึกเลย” เจ้าของร้านทำผมชื่อดัง เล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดี

ชีวิตที่ต้องเปลี่ยน ทุกๆ 5 ปี

กว่า 20 ปี ที่ชื่อของ “สมศักดิ์ ชลาชล” เป็นที่รู้จักในแวดวงสังคมคนดัง ในฐานะ ช่างทำผมฝีปากคม ที่ปรากฎกายในแต่ละงานสังคมแต่ละครั้ง ต้องเว่อร์ ต้องแรง จัดเต็มตลอดทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ไม่มีพร่อง จนกลายเป็นภาพชินตาที่ว่า สมศักดิ์ ออกงานไหนต้องอลังการงานช้าง รับประกันความเลิศ การันตีความมันส์ !

ทว่าวันนี้ เรากลับได้เห็นข่าวคราวความเว่อร์ ความซ่า ของเขาน้อยลง ซึ่งเรื่องดังกล่าว อดีตแชมป์ผมเอเชียผู้นี้ ให้เหตุผลว่า เป็นเพราะ ณ วันนี้ ตัวเขาเองรู้สึกเหนื่อยที่จะต้องออกงานสังคม รวมถึงคิดว่ามนุษย์ทุกคนควรจะต้องมีการปรับเปลี่ยนชีวิตทุกๆ 5 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับโลกที่ไม่หยุดหมุน

“เดี๋ยวนี้เหนื่อย รู้สึกไม่อยากออกงานสังคมเท่าไหร่ สังเกตมั้ยไม่ค่อยได้เห็นพี่ออกงานช่วงนี้ เพราะเราแก่แล้ว คือโดยส่วนตัวพี่คิดว่า มนุษย์เราต้องปรับชีวิตทุกๆ 5 ปี มันต้องปรับนะ อย่ายึดติดอยู่อย่างนั้น ถ้าคุณยึดติดอยู่อย่างนั้นคุณไปไม่รอดนะ เพราะสังคมรอบด้านมันเปลี่ยนหมด อายุเราเปลี่ยน สุขภาพเราเปลี่ยน ดังนั้นถ้าคุณเปลี่ยนได้ชีวิตมันจะมีความสุข

ทุกวันนี้พี่ก็เปลี่ยน พี่เปลี่ยนเพราะว่ามันเป็นความสุขของตัวเอง ด้วยสภาพร่างกายเรา ด้วยอารมณ์เรา ที่อยากอยู่เงียบๆ ตอนนี้ถ้าถาม ก็จะบอกเลยว่าไม่อยากออกไปเว่อร์ๆ บ้าๆ อีกแล้ว แต่สื่อทั้งหลาย จะชอบให้ออกไปบ้าๆ บอๆ แต่หลังๆ เรา ก็บอกเขาไปว่า ไม่อยากบ้าๆ บอๆ มากแล้วหล่ะ เกรงใจมหาวิทยาลัย เดี๋ยวเขามาเอา ดร.ฉันคืน” ช่างตัดผมมือทอง หัวเราะเมื่อเล่าถึงเรื่องวีรกรรมความเว่อร์ เมื่อครั้งอดีต ที่กระทั่งปัจจุบัน ก็ยังคงเป็นภาพติดตาของผู้คนในสังคม

เมื่อ “ช่างผม” ก้าวขึ้นมาพัฒนา วงการศึกษา

คุณสมศักดิ์ บอกกับเราว่า สิ่งที่ทำให้เขาภาคภูมิใจมากที่สุด ไม่ใช่การมีคำนำหน้าว่า ด็อกเตอร์  หากแต่คือ การนำดุษฎีนิพนธ์ ปริญญาเอกของตัวเอง มาพัฒนาวงการอาชีพช่างผม ด้วยการสร้างก่อตั้ง สถาบันสอนการทำผมแบบครบวงจรที่ชื่อว่า “ชลาชล อคาเดมี” ซึ่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงานก็เตรียมจะนำหลักสูตรการเรียนที่เขาคิด ไปร่างเป็นกฏหมาย นำมาใช้ในการเรียนการสอนด้านทำผมในอนาคต

“พี่รู้สึกว่าพี่ได้อะไรดีๆ มาจากอาชีพช่างทำผมเยอะ ก็เลยคิดว่า เราน่าจะทำอะไรที่มันช่วยพัฒนาอาชีพ และมาตรฐานช่างทำผม ก็เลยตั้งใจเรียนจนถึงปริญญาเอก ตอนเข้าเรียนก็เอาเรื่อง ‘การสร้างมาตรฐานอาชีพช่างเสริมสวย’ ไปเสนอเป็นดุษฎีนิพนธ์ อาจารย์ทุกท่านก็เห็นด้วย และก็ผ่านจนจบเป็นด็อกเตอร์มา พอถึงตรงนี้ก็เลยต้องมีโมเดลโรงเรียนทำผมขึ้น พี่คิดว่ามันก็ถึงเวลาแล้วที่พี่ต้องทำ เพราะในเมื่อเราทำงานวิจัยสำเร็จมาเป็นเล่มของตัวเองแล้ว ไปบังคับให้คนอื่นเขาทำ ใครเขาจะทำ พี่ก็เลยต้องทำโมเดลนี้ขึ้นมาเอง

เป็นโมเดลที่วางไว้ว่า วันหนึ่งโรงเรียนเสริมสวยจะต้อง สอนทั้ง 4 ด้าน คือเรื่อง ฝีมือ , ทัศนคติ , การบริหาร และบริการ ไม่ใช่สอนการตัดผมด้านเดียว เพราะการสอนตัดผมอย่างเดียว มันนำไปสู่การมีอีโก้ (Ego) คนไทยชอบสอนให้เก่ง สอนให้แข่งขัน และคิดว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญอยู่คนเดียว แต่พอไปทำงานเป็นทีมก็ไม่รอด เพราะเรามักมีการสอนให้มีการแข่งขันในเรื่องฝีมืออยู่ตลอดเวลา ถามว่าผิดมั้ย มันก็ไม่ผิด แต่มันไม่ใช่ยุคนี้ ยุคนี้ต้องเป็นพันธมิตรกันหมด อันนี้คือแนวคิดของพี่

ดังนั้นสิ่งที่ตั้งใจคือ พี่อยากทำให้ช่างทำผม ไม่ได้เป็นแค่คนทำผม แต่พี่จะสอนให้ช่างผมมีความเป็นมืออาชีพในทุกๆ ด้าน ต้องมีระดับ มีขั้นตอนที่ชัดเจน ซึ่งดุษฎีนิพนธ์พี่ทำ จะหลอมรวมเรื่องการสอนทำผม กับระดับการศึกษาเข้าไว้ด้วยกัน”

“ณ ปัจจุบันพี่ได้รับการแต่งตั้งจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ให้เป็นกรรมการในการปรับมาตรฐานวิชาชีพช่างผม โดยใช้ดุษฎีนิพนธ์ และโมเดลของพี่เป็นแนวทาง แล้วก็กำลังจะปรับเป็นกฎหมายของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน คือจบขั้น 1 ก็ เทียบเท่ากับระดับ ปวช . (ประกาศนียบัตรวิชาชีพ) , ขั้น 2 เทียบเท่า ปวส. (ประกาศนียบัตร วิชาชีพชั้นสูง)  และในอนาคต ถ้าพี่เปิดหลักสูตรเป็นระดับมหาวิทยาลัย คนที่มาเรียนจะสามารถเทียบหน่วยกิจได้เลย เช่นปริญญาตรีต้องเรียนทั้งหมด 147 หน่วยกิจ พอเขาเรียนทำผมไปแล้ว อาจจะต้องเรียนเพิ่มในวิชาอื่นๆ อีกสัก 70 หน่วยกิจ ก็จะได้วุฒิปริญญาตรี ซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่พี่ตั้งใจจะทำ และพี่ก็ภูมิใจมากที่ได้ทำ”

ไปที่ชอบ ...ที่ชอบ ทฤษฎีแปลกหู ของ ดร.สมศักดิ์

แม้จะร่ำเรียน จนสำเร็จการศึกษาระดับสูง แต่ ดร.สมศักดิ์ บอกกับเราว่า สิ่งที่มีอยู่ทุกวันนี้ ยังไม่ถือเป็นความสำเร็จสำหรับเขา

“พี่ยังไม่คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จนะ คำว่า สำเร็จสำหรับพี่ยังไม่มี พี่ทำไปเรื่อยๆ คำว่าสำเร็จ พี่ไม่อยากใช้ เพราะว่าถ้าสำเร็จแล้วมันคือหยุด แต่พี่ยังสนุกกับการที่จะทำงาน สนุกที่จะเรียนรู้ต่อ ตอนนี้พี่กำลังคิดจะทำทฤษฎี “ไปที่ชอบ... ที่ชอบ”

สมัยก่อนไปที่ชอบ... ที่ชอบ คือตาย แต่สมัยนี้คนปัจจุบันใครชอบอะไร ควรไปทางนั้น แล้วไปให้ดีที่สุด อย่าไปล็อกตัวเอง พี่จะบอกคนใกล้ตัวเสมอ ว่าอย่าไปล็อกตัวเอง ด้วยคำพูด หรือด้วยอะไรต่างๆ อย่างเช่นพูดว่า ทำไม่ได้หรอก ฉันเป็นคนอย่างนี้ ไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น ห้ามพูดเด็ดขาด เพราะตอนนี้สิ่งรอบตัวเรามันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราห้ามล็อกตัวเองเป็นอันขาด เราต้องพร้อมที่จะปรับปรุง เปลี่ยนแปลงได้เสมอ”

ท้ายสุด ช่างผมคนดัง บอกกล่าวถึงความหวัง ความฝัน ที่เขาตั้งใจทำ ในวันนี้ว่า

“ความคาดหวังของพี่ในวันนี้ คือการทำโรงเรียน เพื่อพัฒนาวงการทำผมนี่แหละ เพราะพี่หวังว่าโมเดลของชลาชล อคาเดมี จะช่วยสร้างการพัฒนาได้หลายๆ อย่าง ทั้งการทำให้โรงเรียนสอนทำผมมีมาตรฐานมากขึ้น เพราะเมื่อเราทำโรงเรียนดีๆ ก็จะมีคนทำขึ้นมาแข่งขัน พอแข่งขันมันก็เกิดการพัฒนาวงการ และเมื่อเราพัฒนาวงการทำผมได้ มันก็จะมีผลดีตามมาคือ

1. มันสามารถจะเอาเงินเข้าประเทศได้ ถ้าเรามีสถาบันวิชาชีพที่เข้มแข็ง เราจะได้เงินเข้าประเทศเยอะมาก อันนี้เป็นความคาดหวังในเรื่องเศรษฐกิจ ของประเทศ เช่น ถ้าเราไปเปิดชลาชล หรือขายแฟรนไชส์ (Franchise) ในต่างประเทศได้ เราก็เอาเงินเข้าบ้านได้  2.การพัฒนาคนให้มีงานทำ อันนี้คือช่วยเรื่องสังคม ทำให้คนอยู่ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งทุกวันนี้เรื่องการศึกษา หันมาให้ความสำคัญ กับเรื่องทักษะมากขึ้น ด้านอาชีวะ มีบทบาทเยอะมาก เพราะคนไทยมีความเป็นช่างอยู่เยอะมาก อันนี้พี่ก็ได้ช่วยคนแล้ว

สุดท้ายก็ช่วยวงการพี่เอง บุญคุณแผ่นดินให้ไปแล้ว ตอนนี้ก็มาตอบแทนบุญคุณอาชีพ ที่ทำให้พี่ อยู่ดี กินอร่อย มีชื่อเสียง ไปไหนคนรู้จัก ครอบครัวสบาย แล้วทำไมเราจะไม่ตอบแทนให้อาชีพเราล่ะ ถึงวันนี้พี่ก็มีความสุขที่ได้ทดแทนบุญคุณอาชีพ ตอนนี้พี่ก็คิดว่าพี่ทำหมดแล้ว แต่ในอนาคตก็ต้องทำอีก ยังไม่หยุดหรอก”

เมื่อบอกว่า ชีวิตยังไม่หยุดนิ่งง่ายๆ ช่างผมดีกรีด็อกเตอร์ เลยบอกเล่าถึง แผนการอนาคตในอีก 5 ปีที่เขาววาดฝันเอาไว้ว่า

“พี่วางแผนไว้แล้วหล่ะ อีก 5 ปีข้างหน้า อยากจะไปเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เพราะพี่ชอบมาก พี่ชอบต้นไม้ ....แปลกใจใช่มั้ยว่าจากคนที่ซ่าที่สุด เว่อร์ที่สุด ทำไมมาฝันอยากจะอยู่กับต้นไม้ อยากอยู่แบบเงียบๆ ได้” ดร. สมศักดิ์ หัวเราะปิดการสนทนา


ก็ไม่แน่ว่า อีก 5 ปีข้างหน้า เราอาจจะลืมภาพความเปรี้ยวเข็ดฝันของช่างผมมือทองผู้นี้ และรู้จัก “สมศักดิ์ ชลาชล” ในแบบอาจารย์มาดเนี้ยบ ผู้รักสงบ ก็เป็นได้ ....ใครจะไปรู้ ^_^

เรื่องโดย Lady Manager


>>
อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ 
 http://www.celeb-online.net
กำลังโหลดความคิดเห็น