เนื่องในวันมหิดลประจำปี 2554 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ในฐานะที่ทรงเป็นเจ้าฟ้านักวิทยาศาตร์ จึงได้เสด็จไปทรงบันทึกเทปแถบวีดิทัศน์พระราชทานในรายการพิเศษเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พร้อมทรงพระกรุณาพระราชทานสัมภาษณ์พิเศษถึงพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และอาการประชวรของพระองค์เอง ตลอดจนการทรงงานเสด็จเยี่ยมหน่วยแพทย์ พอ.สว.ณ ห้องทรงงานส่วนพระองค์ อาคารศรีสวรินทิรา โรงพยาบาลศิริราช
ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ ทรงพระกรุณาเล่าถึงพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระสุรเสียงดีขึ้น เท่าที่สังเกตุวิธีเสวยทรงหยิบจับภาชนะ ทรงหยิบจัเครื่องมืออะไรก็รู้สึกว่าคล่องแคล่วขึ้น แต่ในเรื่องทรงพระดำเนินนั้นยังทรงทำกายภาพบำบัด เพราะไม่ได้พระดำเนินมานาน ก็ต้องเดินราวคู่ ทรงจักรยาน
ส่วนพระอาการของข้าพเจ้าที่ประสบอุบัติเหตุตรงกระดูกต้นขา ตอนนี้เดินได้แล้ว กระดูกส่วนที่หักเป็นกระดูกใหญ่ติดได้ยาก ได้ผ่าตัดใส่หมุด 3 ตัว เพื่อยึดกระดูกที่หักเอาไว้ หมอบอกว่า 3 เดือนแรกไม่ให้ลงน้ำหนักข้างที่เจ็บ ต้องนั่งวิลแชร์แม้กระทั่งเข้าห้องน้ำ พอ 3 เดือนเริ่มลงน้ำหนักครั้งแรกเจ็บมาก แต่ค่อย ๆ ฝึกตัวเองมาเรื่อย จนตอนนี้ 8 เดือนเดินได้พอสมควร ตอนนี้กระดูกติดแล้ว คุณหมอบอกว่าตอนที่กระดูกหัก เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงที่กระดูกถูกตัดขาดไปเกือบหมด เหลือเส้นเดียวมาเลี้ยงกระดูก ถ้าเส้นเลือดมาเลี้ยงกระดูกไม่พอ สิ่งที่จะเกิดคือกระดูกจะตาย เมื่อเซลล์ตรงหัวกระดูกตายจะเกิดความอักเสบ และเจ็บปวดขึ้นอีกครั้ง ถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าต้องผ่าตัดใหม่ ผ่าตัดใหญ่กว่าเดิม คือต้องผ่าเปลี่ยนข้อสะโพก ตอนนี้เดินได้พอสมควร ลุกนั่งไม่ค่อยสวยเหมือนคนอายุ 90 ปี คุณหมอบอกว่าถ้าพื้นไม่เรียบก็อย่างเสี่ยงให้นั่งรถเข็นไปก่อน ตรงไหนเรียบเดินได้ให้เกาะคนไว้ก่อน เลยเรียกตัวเองเล่น ๆ ว่า “ชาวเกาะ” คือ ต้องเกาะไปเรื่อย ๆ ต้องมอนิเตอร์ 2 ปี เอ็กซเรย์ทุก 3 เดือน ถ้าเดือน ต.ค.นี้เอ็กซเรย์แล้วดี จะทิ้งระยะนานเป็น 6 เดือน
นอกจากนี้เจ้าฟ้านักวิทยาศาสตร์ยังทรงประทานสัมภาษณ์ถึงการทรงงานเสด็จเยี่ยมหน่วยแพทย์ พอ.สว.ทั้งๆที่ประชวรว่า ชีวิตทุกคนนั้น ไม่รู้วันตายของตนเอง คนเราไม่รู้วันที่จะป่วย จนทำงานไม่ได้จากคำสอนของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รับสั่งว่า “เกิดมาควรทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ และประชาชน อย่าให้เสียชาติเกิด” และทั้ง 2 พระองค์ทรงรับสั่งเน้นย้ำเสมอว่า “เป็นเจ้าต้องรับใช้ประชาชน”
เนื่องในวันมหิดลในฐานะที่ทรงเป็น ศ.นักวิทยาศาสตร์ และเป็นหมอเช่นกัน ทรงมองว่า การแพทย์ไทยเก่ง และจรรยาบรรณเป็นเลิศ ไม่เหมือนหมอจากประเทศยุโรป และอเมริกาที่ไม่ค่อยใส่ใจคนไข้เท่าไหร่ แพทย์ของไทยใส่ใจคนไข้
“แต่สิ่งที่อยากเห็นเพิ่มขึ้นในวงการแพทย์ไทยคือการวิจัย เพราะนอกจากจะเปิดความคิดให้กว้างขึ้น ยังเป็นการค้นคว้าในสิ่งที่เราไม่รู้ให้รู้มากขึ้น ยังเป็นการฝึกสมองให้รู้จักคิดรู้จักทำ น่าจะให้แพทย์ทำการวิจัยประกอบการรักษา ฝ่ายที่เป็นรัฐบาลควรเล็งเห็นความสำคัญของวงการแพทย์ และวงการวิทยาศาสตร์ ต้องมีการวิจัยเป็นหลัก ถ้าเราไม่วิจัย เราไม่สามารถทำอะไรเองได้ ตัวอย่างเช่น เมืองไทยเราไม่มีอุตสาหกรรมยาอย่างแท้จริง ซื้อวัตถุดิบมาจากต่างประเทศ ถ้าเราสามารถคิดค้นตัวยาจะต้องมาจากการวิจัยอย่างเดียว”
พร้อมกันนี้ยังทรงรับสั่งปิดท้ายด้วยความห่วงใยในคุณภาพชีวิตของพสกนิกรชาวไทยว่า โรงพยาบาลศิริราชเป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีคนไข้จำนวนมาก และเป็นที่พึ่งของคนไข้ที่ยากจนทั่วประเทศ แต่ส่วนใหญ่คนไข้ที่นี้ยากจน เราไม่คิดค่าใช้จ่าย ถ้าโรงพยาบาลศิริราชทำเท่านั้น คงช่วยพี่น้องคนไทยไม่ได้มาก แต่ถ้าพี่น้องคนไทยที่อยู่ทางบ้าน ที่มีกำลังทรัพย์ช่วยกันบริจาค คนมีมากก็บริจาคมาก คนมีน้อยก็บริจาคน้อย การทำบุญขึ้นอยู่กับเจตนา และความตั้งใจ เพื่อเกื้อกูลพี่น้องที่เจ็บป่วย ซึ่งเป็นน้ำใจที่จะช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน
ในปีนี้ได้กำหนดจัดรายการพิเศษขึ้นในวันเสาร์ที่ 17 ก.ย.54 ตั้งแต่เวลา 22.30-24.20 น. ทาง ททบ.5 ประชาชนทั่วไปสามารถติดตามชม และเชิญร่วมบริจาคในรายการได้ที่ โทร.0-2270-2233 และ 0-2411-2222 พร้อมสอบถามปัญาหาสุขภาพ โทร.0-2278-5940 โดยรายได้ทั้งหมดจะนำไปสมทบทุนช่วยผู้ป่วยยากไร้ และด้อยโอกาสโรงพยาบาลศิริราช.
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net