>>สาวร่างเล็ก หน้าคมหวาน จากสาวแฟชั่นนิสต้ายังดีไซเนอร์ วันนี้ “ภดารี (สุชีวะ) บุนนาค” ปรับบทบาทของตัวเองมาสู่ความเป็นแม่ศรีเรือนมืออาชีพที่ดูแลสามี ลูก และธุรกิจของครอบครัว ซึ่งเธอดูจะมีความสุขทุกครั้งเมื่อพูดถึงสิ่งที่เธอทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงลูกสาว! และตอนนี้หากถามว่าอาชีพของเธอคืออะไร? เธอจะตอบกับเราอย่างรวดเร็วว่าเป็น “คุณแม่” ค่ะ....
ท่ามกลางความขวักไขว่ของซอยรามคำแหง 24 วันนี้เรามีนัดกับคุณแม่มือมือใหม่ “ดา-ภดารี (สุชีวะ) บุนนาค” โดยเธอชักชวนเราไปที่บ้านซึ่งเปรียบเสมือนออฟฟิศของเธอ! ...ทันทีที่เราเข้าไปถึงที่นัดหมาย คุณแม่มือใหม่ก็มาให้การต้อนรับเราพร้อมกับอุ้มลูกสาว “น้องเรไร” ในท่าเข้าสะเอวดูราวกับเป็นคุณแม่ผู้เชี่ยวชาญผู้พร้อมลุยในทุกสถานการณ์ ก่อนที่จะขอตัวพาลูกสาวไปเข้านอนกลางวันเพื่อที่จะได้มาพูดคุยกับเราในวันนี้...
ดาเป็นหลานสาวผู้สืบทอดภารกิจหลายๆ อย่างจากคุณตา “หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี” และคุณยาย “ท่านผู้หญิงดัชรีรัช รัชนี” ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจร้านอาหารกัลปพฤกษ์ของคุณยาย และงานดูแลโครงการหลวงของคุณตา แม้ว่าจะเรียนจบมาทางด้านแฟชั่นดีไซน์ จากภาควิชานฤมิตศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเคยทำงานด้านแฟชั่นอยู่กับ “กรกนก สนิทวงศ์ ณ อยุธยา” แห่งห้องเสื้อ S318แต่ตอนนี้ด้วยอาชีพคุณแม่ที่ว่าก็ทำให้เธอมีเวลาที่จะมาช่วยธุรกิจร้านอาหารกัลปพฤกษ์ของครอบครัวเต็มที่ขึ้น....
ร้านอาหารกัลปพฤกษ์ ถือเป็นธุรกิจร้านอาหารของครอบครัวจากการก่อตั้งของคุณยาย (ท่านผู้หญิงดัชรีรัช รัชนี) ที่เปิดมาแล้วถึง 36 ปี โดยที่แรกอยู่ที่สีลมก่อนจะเริ่มแตกกิ่งก้านสาขาไม่ว่าจะเป็นที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน, ศูนย์การค้าดิ เอ็มโพเรียม, ออลล์ ซีซั่น เพลส และเร็วๆ นี้กับสาขาของกัลปพฤกษ์แบบเต็มรูปแบบที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเธอเป็นคนดำเนินการก่อร่างสร้างสาขานี้ขึ้นมาทั้งหมด
“ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจเล็กๆ ของครอบครัว แม้ว่าลูกหลานทุกคนจะมีงานของตัวเอง แต่ใครมีเวลาก็มาช่วยกันดูแล ซึ่งตอนนี้ดาได้รับมอบหมายให้เข้ามาดูแลร้านกัลปพฤกษ์ที่กำลังจะเปิดที่เซ็นทรัลเวิลด์ โดยเมนูทุกอย่างเหมือนร้านที่สีลม ถือว่าดาเป็นคนเริ่มทั้งหมด ทั้งออกแบบ หาคนครัว ฝึกคนครัว ด้วยความที่ร้านมีประวัติเราก็ต้องรักษาคอนเซ็ปต์เดิมให้มากที่สุด แต่ก็จะมีความสมัยใหม่ตรงบรรยากาศการตกแต่งของร้านบ้าง
ครอบครัวเราเป็นครอบครัวใหญ่ เกิดมาก็เห็นคนทำอาหารอยู่ในบ้านแล้ว เราจึงซึมซับโดยอัตโนมัติ ตื่นมาก็ชินกับการที่มีคนทำอาหารอยู่ในบ้าน มีความสุขที่จะทำและชิมอาหาร ยอมรับว่าเราทานอาหารไทยได้ดี แต่ทำไม่เป็น (หัวเราะ) เพราะเรามีคนทำอยู่ในบ้าน ส่วนใหญ่ชอบทำขนมมากกว่า แต่พอแต่งงานย้ายบ้าน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป กลายเป็นว่าเราต้องทำเอง ยิ่งมีลูกก็ต้องทำอาหารให้ลูกและสามีทาน ตอนนี้ก็ทำเองเป็นหลายเมนูแล้วค่ะ”
::ทำด้วยใจโดยไม่เคยคิดถึงค่าตอบแทน
ด้วยความเป็นหนึ่งลูกหลานของหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง ตั้งแต่เล็กจนโตเหมือนกับภดารีถูกปลูกฝังเรื่องของการทำงานเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ ทำงานเพื่อสังคม และเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนให้ดีขึ้น โดยไม่ได้หวังผลตอบแทนใดๆ
“ดาถือว่าตัวเองเป็นอาสาสมัคร ที่เข้ามาช่วยโครงการหลวงด้วยความเต็มใจ อาจเพราะความที่เป็นหลานท่านตา ตั้งแต่เด็กก็จะเห็นท่านตาทำงานให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พอเราโตขึ้นก็อยากเข้าไปช่วยท่านตา ท่านตาก็เป็นอาสาสมัครเหมือนกัน ทำงานกันแบบไม่ได้ผลตอบแทน ทำด้วยใจจริงๆ
ตอนนี้ลูกหลานท่านตาทุกคนก็จะเข้ามาช่วยกันทำ โดยมีทีมงานโครงการหลวงเข้ามาสนับสนุนด้วย นอกจากนั้นพี่ฤทธี บุนนาค (สามี) ก็เป็นอาสาสมัครด้วยเหมือนกัน โดยเขาดูแลเรื่องกาแฟของโครงการหลวง
ส่วนใหญ่ดาจะได้รับมอบหมายงานด้านอาหาร เช่น โครงการหลวงมีจัดทัวร์ไปดอยอ่างขาง ชื่อว่า Gourmet Tour จัดปีละ 2 ครั้ง จนวันหนึ่งดาได้รู้จักเชฟชาวฝรั่งเศส ซึ่งพอคุยกันก็ปิ๊งไอเดียว่าเราน่าจะเพิ่มลูกเล่นความน่าสนใจของพื้นที่ในโครงการหลวงเข้าไป เนื่องจากแต่ละส่วนของโครงการหลวงสวยมาก ก็เลยปรับทัวร์เป็น “เลอ ทัวร์ เดอ อ่างขาง” ซึ่งเราจะเปลี่ยนสถานที่รับประทานอาหารในแต่ละมื้อไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นการจัดอีเวนต์เล็กๆ ชีวิตก็เริ่มเข้าสู่แวดวงอาหาร และอีกงานที่กำลังจะเกิดขึ้นก็คืองานแฟร์ของโครงการหลวง ซึ่งปีนี้ดาก็ช่วยติดต่อร้านค้าที่จะมาออกบูทในงานให้ด้วย
งานนี้เราทำด้วยใจ ไม่ได้ค่าตอบแทน คงเป็นเพราะการปลูกฝังดาจึงไม่เคยรู้สึกหวังเรื่องของผลตอบแทนเลยและดาก็เชื่อว่าคนที่ทำงานโครงการหลวงทุกคนก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องผลตอบแทนเหมือนกัน ทุกคนคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้นมีประโยชน์ต่อสังคม มีประโยชน์ต่อชาวเขา เวลาเราเห็นชาวเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นก็ดีใจมาก ตัวเขาเองก็ภูมิใจในสิ่งดีๆ ที่เขาทำเช่นกัน”
::บทบาทคุณแม่มือใหม่
จากสาวแฟชั่นผู้มีไลฟ์สไตล์ในแบบฉบับของสาวเมืองที่เคยไปแฮงก์เอาต์กับเพื่อนๆ อยู่เสมอ แต่วันหนึ่งที่เธอได้ตกลงใช้ชีวิตครอบครัวกับคุณสามี-ฤทธี บุนนาค และมีลูกน้อย 1 คน ไลฟ์สไตล์ทุกอย่างของเธอก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ...เธอกลายเป็นคุณแม่บ้านผู้ติดบ้านคอยดูแลสามีและลูกสาว และมักจะมีความสุขเมื่อได้ทำสิ่งที่ดีให้ครอบครัว
“ก่อนมีลูกซ่ามั๊ย ก็ไม่ได้ซ่านะ เพียงแต่เราเป็นคนแอ็กทีฟทำงานหลายอย่าง ไม่ชอบอยู่นิ่ง แต่พอมีลูกก็หยุดทุกอย่างเลย เพราะรู้สึกว่างานของเราคือการเป็นแม่ดูแลลูก พออยู่กับลูกก็รู้สึกว่านิ่งขึ้น ออกไปข้างนอกน้อยลง หรือออกไปแป๊ปเดียวก็อยากกลับบ้าน แต่ถ้าหากถามว่าให้กลับไปอย่างเดิมเอาหรือไม่ คำตอบคือ “ไม่เอา” เพราะอยากอยู่กับลูกมากกว่า
ไลฟ์สไตล์ก็เปลี่ยนไป จากเดิมออกไปแฮงก์เอาต์กับเพื่อน ตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นเพื่อนมาบ้านเราแทน นั่งคุยกันได้ดึกเหมือนเดิม เพียงแต่พอถึงเวลาเราก็พาลูกไปนอนแล้วก็มานั่งคุยกับเพื่อนต่อ หรือหากออกไปข้างนอกแล้วเพื่อนจะไปเที่ยวต่อเขาเราก็จะขอตัวกลับบ้าน”
ส่วนวิธีการเลี้ยงดูของคุณแม่มือผู้ทุ่มเททุกอย่างให้กับลูกคนนี้นั้น เธอดัดแปลงมาจากการเลี้ยงดูแบบเพื่อนระหว่าง ม.ร.ว.ภวรี สุชีวะ คุณแม่ของเธอ ที่เลี้ยงดูเธอมาอย่างสบายใจ สามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่มีช่องว่างระหว่างวัยซึ่งเธอพยายามนำวิธีเลี้ยงเหล่านั้นมาใช้กับน้องเรไรด้วยเหมือนกัน
“ดาว่าครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไร จะเล็กหรือใหญ่แค่ไหน ครอบครัวจะเป็นหลักให้แก่เราได้อย่างมั่นคงที่สุด ไม่ว่ายังไงดาจะให้ทุกอย่างกับครอบครัวก่อนเสมอ ดังนั้น เมื่อดามีครอบครัวของตัวเอง ก็อยากจะให้ลูกได้รับในสิ่งที่เราเคยได้และเคยให้แก่ครอบครัวด้วยเหมือนกัน
เราถูกเลี้ยงมาเหมือนแบบที่เราเลี้ยงลูก คือ พ่อแม่จะปล่อยให้เราคิดเอง มีความเป็นเพื่อน ฉะนั้น ดาจะไม่มีเคยแอบหรือโกหกพ่อแม่ มีอะไรก็พูดกันตรงๆ เช่น ขอไปเที่ยวกับเพื่อนเขาก็ให้ไป เพียงแต่ขอให้บอกรายละเอียดนิดนึงว่าไปกับใคร ไปที่ไหน เราไม่รู้สึกว่าถูกห้ามอะไรก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกสบายใจ มั่นใจ ปลอดภัย และอบอุ่นใจทุกครั้งเมื่อได้อยู่กับครอบครัวจึงเอามาปรับกับการเลี้ยงลูกด้วย"
::สิ่งที่วาดฝันกับลูก
ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นหน้าลูกสาวนอกจากความตื่นเต้น ตกใจ ตื้นตันใจจนน้ำตาไหลแล้ว ภดารียังบอกกับตัวเองว่า จะเลี้ยงลูกสาวคนนี้ให้ดีที่สุด และในวันนี้ภดารีกำลังมุ่งประคบประหงมลูกสาววัย 2 ขวบเศษ "น้องเรไร-อณิสสา” อย่างใกล้ชิดและทะนุถนอมตลอด 24 ชั่วโมง
"เดือนแรกจะเหนื่อยมาก อาจเพราะเรายังปรับตัวไม่ได้ แต่พอเดือนต่อๆ มาก็ค่อยๆ ดีขึ้น พอหายเหนื่อยก็จะเป็นห่วงลูก เวลาออกมาข้างนอกก็อยากจะกลับบ้านไปหาลูกตลอด และถึงแม้จะมีพี่เลี้ยงคอยช่วย แต่ดาจะพยายามเลี้ยงเองให้ได้มากที่สุด ตอนนี้ดาก็เป็นคุณแม่เต็มตัวไม่ได้ทำงานอะไร เพราะอยากจะโฟกัสที่ลูกให้มากที่สุด แต่ดาจะให้ความสำคัญเรื่องพัฒนาการตามวัยของเขาเป็นหลัก จะเลี้ยงแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า
แต่ลูกสาวเป็นคน out going ชอบที่จะไปโรงเรียน ไปเจอเพื่อน พาเขาไปเข้าคลาสตั้งแต่ขวบครึ่ง เพราะความที่เขาอยู่แต่กับผู้ใหญ่ แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่งพาเขาไปเจอลูกของเพื่อน เขางงเพราะไม่เคยเจอเด็กที่เหมือนกับเขา เลยคิดว่าเด็กก็ต้องมีสังคมเหมือนกัน เด็กเมื่ออยู่ด้วยกันเขาจะมีพัฒนาการเร็วมาก ถ้าอยู่กับผู้ใหญ่ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง พอลองพาเขาไปแล้วเขาก็ชอบ”
วิธีการเลี้ยงลูกนั้นเป็นพื้นฐานที่จะวางการเติบโตให้กับลูกน้อยเท่าที่คนเป็นแม่จะทำให้ได้ ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าคุณแม่ยุคไหนต่างก็มีเหมือนกัน ก็คือ การบำรุงฟูมฟักลูกน้อยให้เจริญวัยอย่างดีที่สุดเท่าที่สองมือและสมองของแม่จะทำได้
“ดาไม่อยากกะเกณฑ์ชีวิตให้เขา เราเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้โดยดูว่าเขาเป็นอย่างไรก่อน ไม่ได้ฝันว่าโตขึ้นลูกจะต้องเรียนเก่ง จะต้องไปเรียนพิเศษ จะต้องเรียนดนตรี แต่ถ้าลูกเอนจอยกับอะไรก็สนับสนุนเขา ตอนนี้เขาชอบเต้นรำ ชอบร้องเพลง ชอบเล่นเทคโนโลยีเขาก็จะขอให้เราเปิดยูธูปดูเพลง ดูวีดีโอในคอมพิวเตอร์ แต่ก็ไม่อยากให้เขาเล่นคอมพิวเตอร์มาก กลัวสายตาเสีย แต่เด็กสมัยนี้หัวไว ทันสมัยมาก
การเลี้ยงลูกในสมัยนี้เราเห็นสังคมแล้วเราก็กลัว แต่พยายามคิดว่าอยู่ที่การเลี้ยงดูมากกว่า ฉะนั้น ดาจึงพยายามเลี้ยงดูเขาอย่างใส่ใจที่สุด ดาจะสอนให้ลูกเอาตัวรอดได้ในสังคม เมื่อเรารู้ว่าอะไรที่ไม่ดี เราก็จะให้เขารู้ด้วยว่าอะไรอะไรไม่ดีเราก็จะห้าม แต่เราต้องสอนให้เขาเข้าใจว่าสิ่งนั้นไม่ดีถ้าทำแล้วจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี ถ้าเขาเอาตัวรอดในสังคมได้ก็หมดห่วง ไม่ใช่ว่าเราถนอมเขาจนไม่รู้ว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็จะไม่โต และเราก็ต้องเป็นห่วงเขาไปตลอดชีวิต”
แม้ว่าจะมุ่งมั่นกับการเป็นคุณแม่อย่างเต็มที่ แต่บางครั้งความคิดและความฝันอันบรรเจิดในการสร้างสิ่งใหม่ๆ จะผุดขึ้นมาในหัวของเธอเช่นกัน แต่ก็เมื่อนึกถึงลูกก็บรรเทาความใจร้อนในจิตใจได้เหมือนกัน
“บางทีก็คิดอยากทำโน่นทำนี่เหมือนกัน แต่ก็ต้องบอกตัวเองใจเย็นๆ รอก่อน เราต้องดูแลลูก จะว่าไปแล้วสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็มีความสุขนะจึงไม่รู้สึกโหยหาอยากทำสิ่งอื่นๆ มากมาย แต่ก็มีบางอารมณ์ที่อยากกลับไปทำด้านแฟชั่น ก็จะทำเพื่อสนองความอยากของตัวเองเล็กๆ น้อยๆ เช่น ทำเสื้อผ้าขายในอินเตอร์เนตนิดๆ หน่อยๆ เพราะตั้งแต่แต่งงานมีลูก หลักๆ คือ ดูลูก ไม่มีเวลาที่จริงจัง กะว่าให้ลูกเข้าโรงเรียนก่อน แล้วค่อยมาทำอะไรที่เราอยากทำ เพราะอายุก็ยังไม่มากไฟในตัวก็ยังมีอยู่”
อย่างไรก็ดีเธอก็ยังมีความสุขกับทุกสิ่งที่ทำและยังมีแผลนที่จะมีลูกอีกคนไว้มาเล่นกับน้องเรไร และเธอก็ยังจะยึดอาชีพ “คุณแม่” นี้ต่อไป..... :: Text by FLASH mag.
>> Fact File
นางแบบ :: ภดารี สุชีวะ (บุนนาค)
แต่งหน้า :: จากเครื่องสำอางลูนาโซ (LUNASOL)
ประสานงาน :: สิริลักษณ์ เขตร์กุฎี
ช่างภาพ :: กมลภัทร พงศ์สุวรรณ
วีดีโอ :: ภาสกร โตวณะบุตร
>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net