xs
xsm
sm
md
lg

ตามติดปฏิบัติการอัพดั้งด้วย“ฟิลเลอร์” ..โด่งทันตาจริงรึ!? ฉีดแล้วต้องดูแลอย่างไร?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

By Lady Manager

อยากจมูกโด่งเป็นสัน แลดูมีมิติ ความคิด ความฝันของสาวหลายคน แต่ครั้นจะไปอัพดั้ง ทำศัลยกรรมเป็นจริงเป็นจังก็หวั่นอยู่ ไหนจะเจ็บ ไหนจะต้องพักฟื้นนาน แถมทำออกมาแล้วก็มิรู้จะดูดีดั่งใจหรือเปล่า

สาวผู้ไม่ชอบความเสี่ยงยุคนี้ เลยนิยมลองของกันที่ ฟิลเลอร์ (Filler) ที่ฉีดปั๊บก็ดั้งโด่งปุ๊บ แถมบอกใครต่อใครได้เต็มปากว่า

“เปล่าศัลยกรรมนะ แค่ฉีดฟิลเลอร์เฉยๆ ไม่ชอบไม่ดี อีกไม่กี่เดือนก็หาย” คำตอบแบบเนี้ยแหละ ที่เหล่าคนดังอาทิ หญิงแม้น (หม่อมราชวงศ์แม้นนฤมาส ยุคล) , ไมค์ (พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล) เค้าให้สัมภาษณ์กัน

แม้จะได้ยินกันอยู่เนืองๆ แต่หลายคงยัง ‘งง’ ว่าฟิลเลอร์คืออะไร ฉีดเข้าไปจะงัดดั้งขึ้นมาได้อย่างไร งานนี้เราเลยขอเล่าแจ้งแถลงไข ด้วยคำตอบแบบละเอียดจาก นายแพทย์วรพจน์ ศิรามังคลานนท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเลเซอร์ แห่ง Hertitude Clinic พร้อมฉายภาพให้เห็นกันแบบจะๆ กับปฏิบัติการอัพดั้ง จะโด่งมาก โด่งน้อย ดูมีมิติมากขึ้นแค่ไหน มาดูกัน!

"ฟิลเลอร์ หรือที่เรียกชื่อเต็มๆ ว่า เดอร์มัล ฟิลเลอร์ (Dermal Fillers) คือ สารที่นำมาใช้ฉีดผิว เพื่อช่วยเพิ่มวอลลูม (volume) ให้กับผิว ซึ่งจริงๆ แล้วมีสารที่ใช้ฉีดเยอะมากเลย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ไขมันตัวเองฉีดก็ได้ หรือการใช้คอลลาเจน (Collagen) จากวัว ฉีดก็ได้ หรืออาจจะเป็นคอลลาเจนจากคน โดยใช้ผิวหนังคนมาสกัดเป็นคอลลาเจนก็ได้ แต่ที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน คือใช้สารที่เรียกว่า ไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid)

สารตัวนี้เป็นการสกัดขึ้นในห้องทดลอง จนได้เป็นสารที่มีคุณสมบัติคล้ายกับคอลลาเจน ใต้ผิวหนังเรา ด้วยความที่ไม่ได้เอามาจากคน หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จึงไม่ต้องกลัวเรื่องแพ้ หรือการติดเชื้อ” คุณหมอ วรพจน์ เกริ่นให้เรารู้จักความหมายที่แท้จริงของฟิลเลอร์ พร้อมเล่าต่อว่า แท้จริงแล้วฟิลเลอร์ ไม่ได้มีประโยชน์แค่นำมาเสริมจมูกเท่านั้น

“ฟิลเลอร์นำมาใช้ในด้านความสวยงามหลายส่วนเลย เช่น เติมร่องใต้ตา, ร่องแก้ม, มุมปาก, แก้มตอบ นอกจากนี้ยังสามารถนำมาเติมลำคอ ให้ริ้วรอยลดลง หรือในคนที่อายุมากขึ้น มือเริ่มเหี่ยว ก็สามารถเติมฟิลเลอร์ให้มือดูอวบอิ่มขึ้นก็ได้ แต่ที่นิยมมากๆ ในปัจจุบันก็คือ นำมาเติมจมูกและคาง ให้หน้าเราสวยสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ฟิลเลอร์ยังมีการนำมาใช้รักษาโรคต่างๆ ได้ด้วย เช่น ใช้ในคนที่เป็นโรคลูปัส (Systemic lupus erythematosus) หรือที่บ้านเราเรียกว่า โรคพุ่มพวง แล้วมีภาวะที่ผิวหนังแข็งและหายไป จนเห็นเป็นรอยบุ๋ม ก็สามารถใช้สารฟิลเลอร์เติมขึ้นมาได้ หรือในด้านการรักษาโรคอื่นๆ เช่น คนที่อายุมากแล้วกลั้นปัสสาวะไม่ค่อยอยู่ ทำให้ปัสสาวะเล็ด ก็สามารถฉีดฟิลเลอร์ ทำให้ห่วงหูรูดของกระเพาะปัสสาวะตึงขึ้นได้ ทำให้เวลาไอ จามแรงๆ หรือเวลาที่ปวดปัสสาวะ ก็จะไม่เล็ดออกมา”

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเลเซอร์ อธิบายเจาะลึกว่า แท้จริงแล้วฟิลเลอร์มีหลายชนิด หลากความเข้มข้นให้เลือก แต่สำหรับฉีดเพิ่มความโด่งให้สันจมูก ควรเป็นฟิลเลอร์ชนิดเข้มข้นเท่านั้น!

“ฟิลเลอร์มีหลายความเข้มข้น ซึ่งเหมาะกับการฉีดแต่ละส่วน อย่างเช่น ความเข้มข้นน้อย ๆ จะใช้เติมความชุ่มชื่นให้ผิวในบริเวณทั่วไป ทำครั้งหนึ่งจะอยู่ได้ประมาณ 2-3 เดือน ถ้าเป็นแบบเข้มข้นขึ้นมาอีกนิด ส่วนใหญ่จะใช้ฉีดใต้ดวงตา หรือริมฝีปาก ความเข้มข้นแบบนี้ก็จะอยู่ได้สัก 6-8 เดือน แต่สำหรับการฉีดจมูก ฉีดคาง หรือว่าการฉีดร่องแก้มนั้น เราควรใช้ฟิลเลอร์ที่มีความเข้มข้นสูง เพื่อให้การขึ้นรูปง่ายขึ้น รวมถึงเพื่อให้การฉีดสวย และอยู่ได้นานมากยิ่งขึ้น คือ อยู่ได้ประมาณ 1 ปี จากนั้นก็จะค่อยๆ สลายตัวไปตามธรรมชาติ กระทั่งราว 1 ปีครึ่งก็จะสลายไปจนหมด”

ทว่าหากฉีดแล้วไม่ได้ดั่งใจ อยากจะสลายฟิลเลอร์ก่อนเวลา ก็สามารถค่ะ..

“ข้อดีอีกอย่างของฟิลเลอร์คือ กรณีที่คนไข้ฉีดแล้วรู้สึกว่าไม่ชอบ วิธีแก้ไขก็ง่ายนิดเดียว ถ้าคนไข้ไม่ได้รู้สึกว่าแย่มาก อาจจะใช้ความร้อนช่วยสลาย ฟิลเลอร์ให้สลายเร็วขึ้นก็ได้ แต่ถ้าคนไข้รู้สึกว่ารับไม่ได้เลยกับการรักษาไปแล้ว เราสมารถฉีดสารเข้าไปสลายฟิลเลอร์ได้อีกด้วย”

บอกถึงคุณสมบัติสุดเลิศของฟิลเลอร์แล้ว คุณหมอหน้าใส ไม่ลืมที่จะอธิบายถึงข้อจำกัดของฟิลเลอร์มาว่า

“ข้อแตกต่างระหว่างเสริมดั้งด้วยฟิลเลอร์ และซิลิโคน (Silicone) คือ หนึ่ง-คนไข้ไม่ต้องเสียเวลาเจ็บตัวผ่าตัด ที่สำคัญคือ ฟิลเลอร์มันเป็นธรรมชาติกว่า เวลาจับแล้วมันจะไม่รู้ว่าเสริมจมูกมา แต่ข้อเสียคือ อยู่ไม่ถาวรตลอดชีวิต หลายคนที่ต้องการให้จมูกโด่งอยู่ถาวรตลอดชีวิตไปเลย ก็มักจะเลือกการผ่าตัดมากกว่า

สอง-การฉีดฟิลเลอร์ อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน คือ ทุกคนฉีดได้ แต่ผลออกมาจะสวยงามแค่ไหน ต้องอยู่ที่โครงสร้างจมูกของเราด้วย ถ้าจมูกเราโครงสร้างเล็ก และดีอยู่แล้ว ฉีดออกมาก็จะสวยงาม แต่ถ้าปีกจมูกว้างมาก การฉีดฟิลเลอร์มันอาจจะไม่ได้ช่วยเรื่องของปีกจมูก ถ้าอยากจมูกเล็กสวย ก็ต้องให้คุณหมอผ่าตัดทั้งเสริมจมูก และตัดแต่งปีกจมูกไปด้วย”

ตามติดปฏิบัติการอัพดั้ง

หลังได้ความรู้อัดแน่นเรื่องฟิลเลอร์แล้ว ก็ถึงช่วงตามติดปฏิบัติการอัพดั้งแล้วหล่ะ ซึ่งงานนี้เราได้ “น้องเค้ก” สาวน้อยวัยเริ่มทำงาน ที่บ่นว่าอยากเพิ่มความโด่งของดั้งมานาน แต่ไม่กล้าขึ้นเขียงผ่าตัด

“จริงๆ ก็อยากทำจมูกมานานแล้วค่ะ แต่ไม่กล้า ทั้งกลัวเจ็บจากการผ่าตัดด้วย แล้วก็กลัวทำออกมาแล้วไม่เข้ากับหน้าตัวเอง เลยคิดว่าน่าจะลองด้วยการทำฟิลเลอร์ก่อนน่ะคะ เพราะถ้าไม่ชอบ หรือไม่เหมาะกับตัวเองจะได้แก้ไขได้” สาวเค้กเธอบอกกับเรา

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์เป็นอย่างไร และหลังฉีดเสร็จสิ้น สาวน้อยหน้าใสของจะสวยขึ้นแค่ไหน ใบหน้าแลดูมีมิติมากขึ้นเท่าใด เรามาตามติดปฏิบัติการนี้ไปพร้อมกันเลยจ้า....
ขั้น 1 => ออกแบบความโด่ง / ทายาชา

ในขั้นแรกที่คุณหมอหนุ่มแห่ง Hertitude Clinic ระบุว่าสำคัญนักคือ ขั้นตอนของการออกแบบ ที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์ และศิลป์

“การออกแบบสำคัญมากครับ อย่างตัวน้องนางแบบ ถามว่าจะเสริมขึ้นโด่งมากได้มั้ย ต้องบอกว่าไม่ควรจะโด่งมาก เพราะถ้าสังเกตดู หน้าผากกับจมูกนางแบบ ระดับจะไม่ต่างกันมาก ถ้าเป็นฝรั่งที่เบ้าตาเขาลึก เขาจะเสริมให้โด่งมากๆ ได้เลย เพราะว่ามันจะรับกับหน้าเขา แต่ถ้าคนเอเชีย เสริมขึ้นมาโด่งเยอะๆ หน้าอาจจะดูหน้าแปลกไป ดังนั้นสำหรับนางแบบคนนี้อาจจะเสริมให้โด่งขึ้นสัก 2-3 มิลลิเมตรก็น่าจะพอ

และถ้าจะให้สวย สำหรับสาวเอเชีย เราอาจดึงปลายจมูกขึ้นเล็กน้อย ประกอบกับฉีดติ่งปลายจมูกให้ลงมาเล็กน้อยคล้ายหยดน้ำ ก็จะทำให้จมูกดูยาว และมีมิติมากขึ้น ซึ่งการออกแบบนี้ จะขึ้นอยู่กับแพทย์ด้วย เพราะการเสริมจมูกมันเป็นเหมือนศิลปะ แล้วแต่ว่าใครจะวาดออกมาอย่างไร แต่ละคนก็ออกแบบไม่เหมือนกัน แต่ทั้งนี้ก็ต้องมีการพูดคุยกับคนไข้ด้วย ว่าพอใจกับรูปทรงที่แพทย์ออกแบบหรือไม่ ต้องปรับให้ตรงกันก่อน”

หลังออกแบบเสร็จสิ้น ขั้นต่อมาคือ กรรมวิธีเตรียมการเพื่อให้สาวเค้ก “สวยแบบไม่เจ็บ” คุณหมอ บรรจงทายาชาที่จมูก พร้อมอธิบายว่า

“ก่อนลงมือฉีดฟิลเลอร์ จะต้องมีการทายาชาทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง เพื่อที่คนไข้จะได้ไม่รู้สึกเจ็บมากเวลาที่ฉีด คือมันจะรู้สึกจี๊ดๆ นิดหน่อยแต่ก็ไม่เจ็บมาก”

ขั้น 2 => ประคบน้ำแข็ง ป้องกันฉีดโดนเส้นเลือด

หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง นอกจากยาชาจะเริ่มออกฤทธิ์ นางแบบของเราก็เริ่มผ่อนคลายหายตื่นเต้น และพร้อมจะเข้าสู่กรรมวิธีปั้นแต่งจมูกกันแล้ว

แต่ด้วยเหตุผลว่า บริเวณจมูกมีเส้นเลือดอยู่มากมาย หากเข็มที่ฉีดฟิลเลอร์บังเอิญไปถูกเส้นเลือดเข้า มีหวังเลือดออกแน่

ฉะนั้นในขั้นต่อมานี้ คุณหมอจึงใช้น้ำแข็งประคบไว้สักครู่ เพื่อให้เส้นเลือดหดตัว ลดอัตราเสี่ยงที่เข็มฉีดฟิลเลอร์ จะต้องจ๊ะเอ๋กับเส้นเลือด

“เราจะใช้น้ำแข็งประคบไว้สักครู่ เพื่อให้เส้นเลือดหดตัว เมื่อเส้นเลืดหดตัวความเสี่ยงที่จะฉีดไปโดนเส้นเลือดก็มีน้อยลง จึงลดโอกาสที่จะมีเลือดออกได้”
ขั้น 3 => ฉีด / ปั้นแต่งฟิลเลอร์

เมื่อถึงขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ คุณหมอจะฉีดฟิลเลอร์ตามจุดต่างๆ ของดั้ง แล้วค่อยๆ ใช้มือปั้นแต่งฟิลเลอร์ให้เข้ารูปดั่งที่ออกแบบไว้ คุณหมอระบุว่า ผิวหนังของแต่ละคนจะมีความยืดหยุ่นไม่เท่ากัน ซึ่งนั่นเป็นอีกปัจจัยที่จะบอกได้ว่า จมูกของน้องนางแบบจะโด่งเด้ง อัพสูงได้มากแค่ไหน

“การจะฉีดฟิลเลอร์ให้จมูกโด่งแค่ไหนนั้น ต้องดูความยืดหยุ่นของผิวคนไข้ด้วย ซึ่งนี่เป็นอีกข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์คือ การฉีดจะมีลิมิตของมัน ถ้าเป็นกรณีเสริมซิลิโคนแท่ง อยากยัดให้ใหญ่แค่ไหน ก็ยัดเข้าไปเลย แต่ผลที่เกิดขึ้นคือ เนื้อคนไข้จะรับไม่ได้ มันจะเกิดการดันตลอดเวลา ฉะนั้นเวลาที่มีอะไรแข็งๆ มาดันเนื้อเราตลอดเวลาเนี้ย พอนานไป เนื้อมันจะบางลงเรื่อยๆ บางคนเสริมไปสัก 10 ปี เกิดปัญหาซิลิโคนทะลุเนื้อออกมาก็มี แต่ฟิลเลอร์จะเติมได้อย่างจำกัดคือ ผิวหนังยืดหยุ่นได้แค่ไหน ก็เติมฟิลเลอร์ได้แค่นั้น”

ดูกันชัดๆ ...โด่งขึ้นแค่ไหน !?

ผ่านไปราว 15 นาที หลังปั้นแต่งรูปทรงสันจมูกได้ดั่งใจแล้ว ก็ได้เวลาผลโฉม ความเปลี่ยนไปของ “น้องเค้ก” แล้วหล่ะ

หนูเค้กเธออมยิ้ม บอกกับเราว่า “เดี๋ยวจะรีบไปอวดเพื่อนเลยค่ะ” ฟังประโยคนี้แล้ว ทำให้เราอดสงสัยไม่ได้ว่าหลังฉีดฟิลเลอร์แล้ว ต้องมีการดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง จะสามารถเดินย่างกรายออกไปโฉบเฉี่ยว เจอผู้คนได้ทันทีเลยเหรอ?

“หลังฉีดเสร็จ คนไข้สามารถกลับไปดำเนินชีวิตได้ตามปกติทันทีครับ อาจจะมีการบวมเล็กน้อยบริเวณรอยเข็มที่ฉีด แต่ไม่เยอะมาก อย่าไปเทียบกับการผ่าตัดนะครับ เพราะถ้าผ่าตัดจะบวมใหญ่มาก แต่การฉีดฟิลเลอร์นี้อาจจะบวมหน่อยๆ ถ้าแตะโดนอาจจะรู้สึกเสียวๆ บ้างเล็กน้อย แต่ว่าอาการเหล่านั้นมักจะหายไปได้เองใน 1-2 วัน

ส่วนการปฏิบัติตัวหลังฉีดฟิลเลอร์คือ ห้ามนวดหน้า หรือ อบเซาว์น่า (Sauna) เพราะการนวดหน้า หรืออบไอน้ำแบบนั้น มันจะทำให้ฟิลเลอร์ที่เพิ่งเติมเข้าไปซึ่งยังไม่อยู่ตัว อาจจะไหลไปมาได้ แต่การล้างหน้า ทาครีมบำรุง เหล่านี้ทำได้ตามปกตินะครับ เพียงแต่ต้องพยายามอย่าไปจับ หรือถูแรงๆ เท่านั้นเอง

นอกจากนี้ควรจะงดดื่ม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (Alcohol) และงดสูบบุหรี่ด้วย ควรจะดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพราะฟิลเลอร์เป็นสารอุ้มน้ำ พอเราดื่มน้ำเข้าไป ฟิลเลอร์ก็จะพองขึ้น จนเนียนสวยกลมกลืนกับผิวเราได้เร็วยิ่งขึ้น” คุณหมอวรพจน์ อธิบาย

ด้าน ‘น้องเค้ก’ ของเรา หลังฉีดเสร็จครู่เดียว เธอแอบหลบมุมไปปะแป้ง เติมหน้า และกลับมาพร้อมใบหน้าสวยใส ดูไม่รู้สักนิ๊ด ว่าเพิ่งผ่านสมรภูมิ เข็มฉีดฟิลเลอร์มา ...แม้ใบหน้าโดยรวมจะไม่ได้เปลี่ยนเวอร์ จนคนที่บ้านจำไม่ได้ แต่ก็สวยสด แลดูมีมิติขึ้น แบบไม่ต้องพึ่งไฮไลท์เล้ย

*ทิปส์ส่งท้ายจากหมอ ! ก่อนฉีดฟิลเลอร์ต้อง...

- ปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ ว่าจมูกของคุณเหมาะที่จะฉีดฟิลเลอร์หรือไม่ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้เป็นไปดั่งใจคุณมากที่สุด

- ก่อนฉีด 7 วัน ควรงดทานยาแอสไพริน (Aspirin) และวิตามินจำพวกอีฟนิ่ง พริมโรส ออยล์ (Evening Primrose Oil) สารสกัดจากใบแปะก๊วย และวิตามินอี (Vitamin E) เพราะยาและวิตามินเหล่านี้อาจส่งผลให้เลือดออกได้ง่ายกว่าปกติระหว่างฉีดฟิลเลอร์

- สตรีมีครรภ์ และสตรีที่อยู่ในช่วงให้นมบตุร ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ ส่วนน้องๆ หนูๆ ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ควรมีผู้ปกครองมาด้วย เพื่อลงชื่อยินยอมให้ฉีดฟิลเลอร์

- ผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ ควรรักษาให้หายก่อน เช่น ต้องการฉีดฟิลเลอร์ที่จมูกแต่มีสิวอักเสบเม็ดเป้งอยู่ปลายจมูก แบบนี้ควรรักษาให้หายก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงขึ้น


>>
อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ 
 http://www.celeb-online.net
กำลังโหลดความคิดเห็น