xs
xsm
sm
md
lg

สัมผัสแล้วจะหลงรัก มิลเลอร์เลส “Canon EOS M3”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


Canon EOS M3 เป็นกล้องมิลเลอร์เลสเปลี่ยนเลนส์ได้รุ่นที่ 3 ซึ่งมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากล้อง DSLR จากแคนนอนที่ได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพและการออกแบบใหม่หมด พร้อมความสามารถในการเปลี่ยนเลนส์ได้ตั้งแต่เลนส์ตระกูล EF-M ไปถึงตระกูล EF จาก Canon EOS DSLR กว่า 70 รุ่น พร้อมฟีเจอร์และการทำงานที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ถึง 5 เรื่องหลักที่คุณควรอ่านแล้วจะทำให้คุณหลงรักมิลเลอร์เลส “Canon EOS M3” ได้ไม่ยาก

1.การใช้งานที่ง่ายขึ้น

นอกจากสเปกเซ็นเซอร์รับภาพ Canon EOS M ทุกรุ่นจะเป็นขนาดเดียวกับ DSLR (APS-C) แล้ว รูปแบบการใช้งานยังถูกปรับปรุงใหม่ให้ทันสมัยและใช้งานได้ง่ายขึ้น ตั้งแต่หน้าจอ TFT LCD แบบสัมผัส (Capacitive Touch Screen) ขนาด 3 นิ้ว พร้อมความสามารถพิเศษคือ หน้าจอสามารถพับขึ้นลงได้ 180 องศา สามารถใช้ถ่ายเซลฟี ถ่ายมุมสูงหรือถ่ายมุมต่ำกว่าหัวเข่าได้ง่ายขึ้น


นอกจากนั้นสำหรับผู้ใช้ที่ชื่นชอบการโพสต์ภาพลงโซเชียล ไม่ว่าจะเป็น เฟสบุ๊กหรืออินสตาแกรม EOS M3 ยังรองรับการเชื่อมต่อและแชร์ภาพผ่าน WiFi หรือ NFC ผ่านแอพพลิเคชั่น “Canon Camera Connect” บนสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ iOS และ Android อีกทั้งซอฟต์แวร์ดังกล่าวยังสามารถใช้เป็นรีโมทสั่งงานกล้องได้ด้วย


มาถึงการออกแบบตัวกล้องเทียบกับคู่แข่งระดับเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น Olympus OMD E-M10 และ Olympus PEN E-PL7 แคนนอนได้ออกแบบกริป (Grip) จับถือใหม่ให้มีความหนาขึ้น จับถือสะดวกและที่สำคัญตำแหน่งกริปถูกออกแบบให้เวลาผู้ใช้จับถือแล้ว นิ้วจะไม่ติดกับวงแหวนซูมของเลนส์กล้อง ทำให้การหมุนปรับระยะเลนส์ทำได้สะดวกสบายและคล่องตัวมากขึ้น

นอกจากนั้น EOS M3 ยังรองรับการเชื่อมต่อช่องมองภาพ (View Finder) อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Viewfinder EVF-DC1) ผ่าน Hot Shoe รวมถึงเป็นกล้องมิลเลอร์เลสตัวแรกในตลาดระดับเดียวกันที่มาพร้อมช่องเชื่อมต่อไมโครโฟน 3.5 มิลลิเมตร สำหรับงานวิดีโอ

2.ความรวดเร็วในการทำงาน

เริ่มจากเรื่องแรกเวลาในการเปิดกล้องจนพร้อมใช้งาน (Start Time) เมื่อเทียบกับคู่แข่ง EOS M3 อาจใช้เวลานานกว่าคู่แข่ง แต่ถึงอย่างไร สิ่งที่ EOS M3 ทำได้เหนือกว่าก็คือ ตัวกล้องมาพร้อมโหมดประหยัดพลังงานที่แคนนอนปรับใหม่ให้สามารถตั้งเวลาเข้าสู่โหมดสแตนบายได้เร็วสุดเพียง 10 วินาทีเท่านั้น

นอกจากนั้นเมื่อกล้องพร้อมใช้งาน ด้วยหน้าจอแบบสัมผัสทำให้แคนนอนสามารถเพิ่มเมนูพิเศษในชื่อ Quick Control เข้ามาได้ โดยเมนูดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถใช้นิ้วจิ้มหน้าจอปรับค่ากล้องรวมถึงการโฟกัสภาพก็สามารถจิ้มที่หน้าจอเพื่อล็อคโฟกัสได้แบบเดียวกับการถ่ายภาพจากสมาร์ทโฟน

3.คุณภาพไฟล์

มาถึงเรื่องคุณภาพไฟล์ภาพ ด้วยการเลือกใช้เซ็นเซอร์รับภาพขนาดเดียวกับกล้องใหญ่ DSLR ทำให้ EOS M3 รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด 1080p ที่ความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาที ในส่วนสเปกถ่ายภาพนิ่งแคนนอนปรับเพิ่มความละเอียดภาพเป็น 24.2 ล้านพิกเซล ส่วนความไวแสง (ISO) รองรับตั้งแต่ ISO 100-12,800 ทำให้ผู้ใช้สามารถมั่นใจคุณภาพไฟล์ที่ได้ว่าจะไม่แตกต่างจากกล้องใหญ่ DSLR

ในส่วนหน่วยประมวลผลภาพ แคนนอนเลือกใช้ DIGIC 6 ที่โดดเด่นในเรื่องการจัดการนอยซ์เมื่อถ่ายภาพในที่แสงน้อย รวมถึงสีสันความถูกต้องทำได้ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด โดยเฉพาะการนำไปถ่ายภาพบุคคล EOS M3 ยังคงเอกลักษณ์ Skin Tone ความเป็นแคนนอนไว้อย่างสมบูรณ์แบบ

นอกจากนั้น EOS M3 ยังรองรับ RAW File สามารถเลือกอัตราส่วนภาพได้หลากหลายตั้งแต่ 3:2, 16:9, 4:3, 1:1 (Instagram Size) และถือเป็นกล้องมิร์เรอร์เลสตัวเดียวในตลาดตอนนี้ที่ใช้งานถ่ายวิดีโอได้ดีที่สุดเพราะนอกจากจะรองรับการถ่ายวิดีโอแบบปรับตั้งค่าเอง Manual Mode ได้แล้ว ด้านการเชื่อมต่อไมโครโฟนภายนอกยังทำได้เต็มรูปแบบอีกด้วย

4.ระบบโฟกัส

ด้านระบบโฟกัส แคนนอนเลือกใช้ Hybrid CMOS AF III หรือระบบออโต้โฟกัสแบบไฮบริดรุ่น 3 ที่แคนนอนพัฒนาใหม่ให้จับโฟกัสได้เร็วกว่ารุ่นเก่าถึง 6.1 เท่า สามารถจับโฟกัสในที่แสงน้อยได้รวดเร็ว พร้อมจุดโฟกัส 49 จุด ครอบคลุมพื้นที่ถ่ายภาพทั้งเฟรม รองรับการจับโฟกัสใบหน้า (Face Detection) รองรับการโฟกัสติดตามวัตถุ (Tracking) สำหรับงานวิดีโอ พร้อมความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่อง 4.2 ภาพต่อวินาทีทั้งในรูปแบบไฟล์ JPEG และ RAW (14 บิต)

5.โหมดถ่ายภาพสร้างสรรค์

ใน EOS M3 แคนนอนปรับโหมดถ่ายภาพใหม่ให้ทันสมัยและฉลาดมากขึ้น ตั้งแต่โหมด Auto ถ่ายภาพอัตโนมัติที่ปรับให้ตัวกล้องสามารถวิเคราะห์สภาพแวดล้อมระหว่างถ่ายพร้อมเลือกซีนโหมดที่เหมาะสมอย่างแม่นยำ

ส่วนถ้าผู้ใช้เป็นมือใหม่ ไม่อยากยุ่งยากกับการปรับค่ากล้อง แคนนอนได้ให้โหมด Creative Assist เป็นครั้งแรกของตลาดมิลเลอร์เลส ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเลือกปรับแต่งภาพตามความต้องการได้ง่ายด้วยไอคอนบอกการใช้งานชัดเจน ตั้งแต่ตั้งหน้าชัดหลังเบลอ ปรับแสง ความเข้ม ความสดใสของภาพ โทนภาพและเอ็ฟเฟ็กต์ จากนั้นระบบยังอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถบันทึกเป็นโปรไฟล์ส่วนตัวเพื่อเลือกใช้งานในภายหลังได้ด้วย

สำหรับผู้ใช้ที่ชื่นชอบการปรับแต่งภาพ EOS M3 ยังให้โหมด Creative Filter แบบเรียลไทม์มาให้ ซึ่งพอผู้ใช้กดถ่ายภาพพร้อมเลือกเอ็ฟเฟ็กต์โดนใจได้แล้ว ก็สามารถแชร์ภาพสู่โซเชียลผ่าน WiFi หรือ NFC ได้ทันที ไม่ต้องพึ่งพาโฟโต้ช็อปให้เสียเวลาแล้ว

สุดท้ายที่โดดเด่นเหนือคู่แข่งทั้งหมดและถือเป็นจุดขายของแคนนอนทุกรุ่นก็คือ ระบบออโต้โฟกัสในโหมดวิดีโอ ที่นอกจากความเงียบของเลนส์กล้องแล้ว โหมดวิดีโอยังรองรับการแทรคโฟกัสติดตามวัตถุที่แม่นยำและรวดเร็วมาก โดยเฉพาะการแทรคติดตามใบหน้าที่ทำได้ลื่นไหล โฟกัสนุ่มนวลเหมือน DSLR ตัวใหญ่

ทั้งหมดนี้จึงทำให้ Canon EOS M3 คือที่สุดของกล้องมิลเลอร์เลสที่สามารถใช้งานได้ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นถึงมืออาชีพ โดยสเปกภาพรวมของ EOS M3 ไม่ต่างจากกล้อง DSLR ขนาดใหญ่ ยกเว้นขนาดที่เล็กและมีน้ำหนักเบาพกพาสะดวกกว่า ผู้ใช้มืออาชีพสามารถพกพกา EOS M3 เป็นกล้องเสริมได้เพราะเลนส์ EF และ EFS สามารถใช้ร่วมกับ EOS M3 ผ่านอะแดปเตอร์ EF Mount หรือแม้แต่การต่อแฟลช Speedlite EX-Series ก็สามารถทำได้เหมือนกล้องใหญ่ผ่านพอร์ต Hot Shoe

ส่วนผู้ใช้ระดับเริ่มต้น ด้วยการที่กล้องมีขนาดเล็กและระบบ ฟีเจอร์ถูกปรับมาให้ฉลาดมากขึ้นคุณจะเพลิดเพลินกับการสร้างสรรค์ผลงานถ่ายภาพที่คุณเป็นผู้สร้าง อีกทั้งวัยรุ่นที่ชื่นชอบการแชะ & แชร์ EOS M3 รองรับทั้ง WiFi และ NFC อย่างเต็มรูปแบบ

ท้ายสุดเรื่องความคงทนของตัวกล้อง หลายคนคงทราบดีอยู่แล้วว่ากล้องแคนนอนทุกรุ่นมีฐานการผลิตตัวเครื่องอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นทุกคนสามารถมั่นใจเรื่องคุณภาพตัวสินค้าและงานประกอบที่เหนือกว่าคู่แข่งทุกเจ้า

ขอบคุณภาพจาก
คุณ jukurae สมาชิก Pantip.com
คุณสมาชิกหมายเลข 2731889 ใน Pantip.com
(บทความโฆษณา)
กำลังโหลดความคิดเห็น