วันนี้ (17 กรกฏาคม)เป็นวันแรกที่ Apple Watch วางขายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการที่ iStudio 11 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัล ลาดพร้าว, เซ็นทรัล พระราม 9, เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ, เซ็นทรัล เอ็มบาสซี่, เซ็นทรัล พระราม 2, เดอะมอลล์ บางกะปิ, แฟชั่นไอส์แลนด์, สยามพารากอน, เอ็มควอเทียร์, เมกะบางนา และเซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ ทีมงานไซเบอร์บิซก็เลยขอพาผู้อ่านทุกท่านมาชมสัมผัสแรก (พรีวิว) Apple Watch ก่อนจะไปพบรีวิวฉบับเต็มเร็วๆนี้
แต่ก่อนจะไปรับชมพรีวิว ทีมงานไซเบอร์บิซขอแจงรายละเอียดรุ่นที่วางขายในประเทศไทยเสียงก่อน โดย Apple Watch รุ่นที่จะวางขายในไทยผ่าน iStudio ทั้ง 11 สาขา ได้แก่ Apple Watch รุ่น Sport แบบตัวเรือนผลิตจากอลูมิเนียม Apple Watch แบบตัวเรือนสแตนเลส สตีล และสุดท้ายรุ่นพิเศษจำหน่ายเฉพาะ iStudio สยามพารากอนและเอ็มควอเทียร์ Apple Watch Edition ตัวเรือนผลิตจากทองคำ 18 กะรัต
ด้านราคาวางจำหน่าย อ้างอิงจาก Apple Store ประเทศไทย
Apple Watch Sport ตัวเรือนขนาด 38 มิลลิเมตร พร้อมสาย Sport Band ราคา 13,500 บาท
Apple Watch Sport ตัวเรือนขนาด 42 มิลลิเมตร พร้อมสาย Sport Band ราคา 15,500 บาท
Apple Watch ตัวเรือน 38 มิลลิเมตร สแตนเลสลตีล พร้อมสาย Sport Band ราคา 20,500 บาท
Apple Watch ตัวเรือน 42 มิลลิเมตร สแตนเลสลตีล พร้อมสาย Sport Band ราคา 22,500 บาท
Apple Watch ตัวเรือน 38 มิลลิเมตร สแตนเลสลตีล พร้อมสาย Classic Buckle ราคา 24,500 บาท
Apple Watch ตัวเรือน 42 มิลลิเมตร สแตนเลสลตีล พร้อมสาย Classic Buckle ราคา 26,500 บาท
Apple Watch ตัวเรือน 38 มิลลิเมตร สแตนเลสลตีล พร้อมสาย Milanese Loop ราคา 24,500 บาท
Apple Watch ตัวเรือน 42 มิลลิเมตร สแตนเลสลตีล พร้อมสาย Milanese Loop ราคา 26,500 บาท
Apple Watch ตัวเรือน 38 มิลลิเมตร สแตนเลสลตีล พร้อมสาย Modern Buckle ราคา 28,500 บาท
Apple Watch ตัวเรือน 42 มิลลิเมตร สแตนเลสลตีล พร้อมสาย Leather Loop ราคา 26,500 บาท
Apple Watch ตัวเรือน 38 มิลลิเมตร สแตนเลสลตีล พร้อมสาย Link Bracelet ราคา 35,500 บาท
Apple Watch ตัวเรือน 42 มิลลิเมตร สแตนเลสลตีล พร้อมสาย Link Bracelet ราคา 37,500 บาท
Apple Watch ตัวเรือน 38 มิลลิเมตร สแตนเลสลตีล สีดำสเปซแบล็ค พร้อมสาย Link Bracelet สีดำสเปซแบล็ค ราคา 39,500 บาท
Apple Watch ตัวเรือน 42 มิลลิเมตร สแตนเลสลตีล สีดำสเปซแบล็ค พร้อมสาย Link Bracelet สีดำสเปซแบล็ค ราคา 41,500 บาท
Apple Watch ตัวเรือน 38 มิลลิเมตร ทองคำ 18 กะรัต พร้อมสาย Sport Band ราคา 395,000 บาท
Apple Watch ตัวเรือน 42 มิลลิเมตร ทองคำ 18 กะรัต พร้อมสาย Sport Band ราคา 470,000 บาท
Apple Watch ตัวเรือน 42 มิลลิเมตร ทองคำ 18 กะรัต พร้อมสาย Classic Buckle ราคา 585,000 บาท
Apple Watch ตัวเรือน 38 มิลลิเมตร ทองคำ 18 กะรัต พร้อมสาย Modern Buckle ราคา 660,000 บาท
มาถึงพรีวิว สัมผัสแรกเรียกน้ำย่อยสำหรับผู้ที่กำลังสนใจ โดย Apple Watch ที่อยู่ในมือทีมงานจะเป็นรุ่น Apple Watch ตัวเรือน 42 มิลลิเมตร สแตนเลสลตีล พร้อมสาย Sport Band วัสดุหน้าจอผลิตจาก Ion-X glass และกระจกแซฟไฟร์ ซึ่งแรกเห็นและได้สัมผัสยอมรับว่าแอปเปิลยังคงเอกลักษณ์ด้านงานประกอบและการเลือกใช้วัสดุที่ค่อนข้างหรูหรา แต่ความทนทานต้องขอทีมงานทดสอบสักหนึ่งเดือนก่อนจะมาเล่นให้ฟังแบบละเอียดอีกครั้ง
จุดที่น่าสนใจของ Apple Watch นอกจากรุ่นและราคาที่มีให้เลือกซื้อครอบคลุมเกือบทุกกลุ่มเป้าหมาย ด้านสเปกฮาร์ดแวร์ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ยกตัวอย่างคร่าวๆจากการได้ลองใช้งานเพียง 2 ชั่วโมง ก็คือ หน้าจอแบบรับรู้แรงกด (Force Touch) ใน Apple Watch จะใช้เวลาเลือกธีมนาฬิกา และเวลาอยู่ในหน้าแจ้งเตือน ถ้าผู้ใช้กดหน้าจอด้วยน้ำหนักที่มากกว่าปกติจะกลายเป็นการ Clear แจ้งเตือนหรือเข้าสู่หน้าเลือกธีม เป็นต้น
จุดที่น่าสนใจอันดับที่สองก็คือ การเชื่อมต่อกับไอโฟน สำหรับ Apple Watch จะรองรับตั้งแต่ไอโฟน 5 เป็นต้นไปหรือดูง่ายๆก็คือ ถ้าเราติดตั้ง iOS เวอร์ชันล่าสุดแล้วมีไอคอน Apple Watch ปรากฏขึ้น นั่นแสดงว่าไอโฟนของเรารองรับนั่นเอง
ในส่วนจุดที่น่าสนใจจะอยู่ตอนที่เรื่มใช้งานและต้องเชื่อมต่อไอโฟนเข้ากับ Apple Watch ซึ่งโดยปกติเราจะต้องเข้าไปตั้งค่า เปิดบลูทูธด้วยตัวเอง แต่สำหรับสมาร์ทวอตซ์ตัวนี้เราเพียงแค่นำกล้องหลังของไอโฟนมาส่องที่หน้าจอ Apple Watch เท่านั้น ระบบจะจับคู่และตั้งค่าให้อัตโนมัติทันที (สามารถรับชมวิดีโอสาธิตการเชื่อมต่อด้านบนได้ ที่ท้ายคลิปวิดีโอ)
จุดที่น่าสนใจต่อไป เป็นเรื่องที่ทีมงานสังเกตจากช่วงงานเปิดตัวและก็ได้สัมผัสตอนที่ได้รับ Apple Watch มาทดสอบครั้งนี้ ก็คือ Apple Watch รุ่น Sport จะมีสายมาให้ 2 ขนาดคือใหญ่กับเล็ก โดยผู้ใช้สามารถเลือกเปลี่ยนได้ตามขนาดข้อมือของแต่ละคน ครอบคลุมตั้งแต่คนข้อมือเล็กไปถึงข้อมือใหญ่มากฃ
นอกจากนั้นสำหรับสายสแตนเลสตีล Link Bracelet แอปเปิลยังได้ออกแบบสายมาได้อย่างน่าสนใจคือ ปกติสายลักษณะนี้จะใช้สลักในการล็อกตามข้อต่างๆ เวลาต้องการเปลี่ยนความยาวสายจะต้องใช้อุปกรณ์ในการถอดสลักออกซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยาก แอปเปิลก็เลยออกแบบให้ข้อต่อเหล่านี้สามารถถอดแยกออกจากกันได้ด้วยการกดปุ่มที่ด้านหลังเท่านั้น สลักจะปลดล็อกตัวเองทันที
สุดท้ายด้านการใช้งานหลักๆนอกจากความสามารถพื้นฐานใช้บอกเวลาแล้ว Apple Watch จะทำงานสอดคล้องและเป็นเหมือนหน้าจอที่สองของไอโฟนเวลาผู้ใช้เดินทางและไม่สามารถหยิบไอโฟนออกมาใช้งานได้ Apple Watch จะเข้ามาเติมเต็มส่วนนี้
วิดีโอสาธิตระบบสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Apple Watch
โดยแอปพลิเคชันที่เราดาวน์โหลดจาก AppStore ถ้ารองรับ Apple Watch ในนาฬิกาจะมีไอคอนของแอปฯเหล่านั้นปรากฏขึ้นพร้อมใช้งานผ่านนาฬิกาได้ เช่น LINE ถ้ามีคนส่งข้อความมาหาเราและเราเก็บไอโฟนไว้ในกระเป๋า ข้อความเหล่านั้นจะเด้งแจ้งเตือนมาที่ Apple Watch แทน โดยเราสามารถเลือกตอบข้อความได้ด้วยการพูดทั้งภาษาไทยและอังกฤษจากนั้นระบบจะแปลงเป็นข้อความให้ หรือแม้แต่การกดเลือกใช้ Siri จาก Apple Watch และสั่งงานด้วยภาษาไทยและอังกฤษแบบเดียวกับบนไอโฟน
ในเรื่องการโทรศัพท์เราสามารถสั่งโทรออกจากรายชื่อหรือรับสายผ่าน Apple Watch ได้ รวมถึงความสามารถอื่นๆ เช่นวัดอัตราการเต้นของหัวใจหรือใช้แผนที่นำทาง เหล่านี้ Apple Watch สามารถทำได้ทั้งหมดแต่ต้องเชื่อมต่อกับไอโฟนตลอดเวลา
สำหรับบทความรีวิวฉบับเต็มติดตามได้เร็วๆนี้...
————————————————————————————
อีกหนึ่งช่องทางติดตามไซเบอร์บิซ ออนไลน์ ผ่านทางแอปพลิเคชัน LINE คลิกเพิ่มเพื่อนที่ปุ่ม Add Friends ด้านล่างจากสมาร์ทโฟนหรือเข้าไลน์ค้นหาไอดี @opu3945f
————————————————————————————