การมาของ Galaxy Note 3 ถือเป็นการเติมเต็มผลิตภัณฑ์ในไลน์อุปกรณ์พกพาของซัมซุงรุ่นใหม่ให้ครบมากขึ้น หลังจากที่เปิดตัวเรือธงอย่าง Galaxy S4 ออกมาในช่วงครึ่งปีแรก และหวังว่า Note 3 จะเข้ามาสร้างปรากฏการณ์ความนิยมสินค้าในกลุ่ม Note ของซัมซุงให้กว้างมากขึ้นอีก
โดยฟีเจอร์หลักๆของ Note 3 จะเป็นการนำความสามารถในรุ่นก่อนหน้าอย่าง S4 และ Note 8 มาผสมรวมกับฟีเจอร์ใหม่ ที่พัฒนาขึ้นมาให้ใช้ใน Note 3 จะเป็นฟังก์ชันการสั่งงานของปากกาเป็นหลักมากกว่า ส่วนที่เหลือก็แทบจะไม่แตกต่างจากรุ่นเดิมสักเท่าใดนัก
ส่วนในเรื่องของชิปหน่วยประมวลผลอย่าง Exynos (รุ่นที่ไทยนำมาขาย) และ Snapdragon (ที่วางขายในต่างประเทศ) ก็จะมีความแตกต่างสำคัญในแง่ของเครือข่ายที่รองรับเป็น 4G และรองรับการถ่ายวิดีโอ 4K ส่วนอื่นๆก็จะเป็นในแง่ของประสิทธิภาพและการจัดการพลังงานของเครื่องที่ชิปแต่ละตัวมีความแตกต่างกัน ซึ่งต้องรอความชัดเจนจากซัมซุงประเทศไทยอีกทีหนึ่ง
การออกแบบและสเปก
สิ่งที่พิเศษขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเลยคือในเรื่องของวัสดุที่นำมาใช้ใน Note 3 เพราะในแง่ของดีไซน์แล้วก็เหมือนเป็นการปรับแต่งให้ดูสวยคมขึ้น ตัวเครื่องมีความบางลง ประกอบกับการเลือกใช้ขอบอลูมิเนียม กับฝาหลังที่เป็นพลาสติกเคลือบหนังเทียม ทำให้ดูแล้วหรูหรามากขึ้น
โดยขนาดรอบตัวของ Note 3 จะอยู่ที่ 151.2 x 79.2 x 8.3 มิลลิเมตร น้ำหนักราว 168 กรัม ซึ่งในประเทศไทยจะวางขายด้วยกันเบื้องต้น 2 สี คือ ดำ และขาว ส่วนสีอื่นๆอาจจะมีตามเข้ามาในอนาคต
ด้านหน้า - สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือหน้าจอขนาด 5.7 นิ้ว ที่เป็น Super AMOLED ให้ความละเอียด 1080p ความละเอียดเม็ดสีอยู่ที่ 386 ppi โดยส่วนบนหน้าจอก็จะเป็นช่องลำโพงสนทนา ที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับแสง ตรวจจับใบหน้า และกล้องหน้าความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ที่สามารถถ่ายวิดีโอระดับ Full HD ได้
ส่วนล่างหน้าจอก็จะมีปุ่มกลับหน้าหลักอยู่ตรงกลาง ซึ่งสามารถกดค้างเพื่อดูแอปพลิเคชันที่เปิดใช้งานล่าสุด และกด 2 ครั้งเพื่อเรียกฟังก์ชัน S-Voice ประกบด้วยปุ่มสัมผัส สำหรับกดย้อนกลับ และเมนูขนาบซ้ายขวา ที่สำคัญคือในรุ่น Note 3 สามารถใช้ปากกา S=Pen กดบริเวณปุ่มนี้ได้เช่นเดียวกับใน Note 8 แล้วจากเดิมในรุ่นก่อนไม่สามารถกดได้
ด้านหลัง - อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าฝาหลังของ Note 3 จะใช้พลาสติกทำลายเป็นหนังบุลงบนพลาสติกอีกทีหนึ่ง แน่นอนว่าฝาหลังยังสามารถโค้งงอได้อยู่เช่นเดิม โดยตรงกลางบนก็จะมีกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช ที่นูนขึ้นมาเล็กน้อย ถัดลงมาก็จะมีสัญลักษณ์ซัมซุง ส่วนที่เหลือก็จะปล่อยว่างไว้
เมื่อเปิดฝาหลังออก (มีจุดแงะอยู่แถวๆปุ่มเปิดเครื่อง) จะพบกับแบตเตอรี่ขนาด 3,200 mAh ที่มีช่องใส่ไมโครซิมการ์ด และไมโครเอสดีการ์ดซ้อนกันอยู่ส่วนบน
ด้านซ้าย - มีเพียงปุ่มปรับระดับเสียงเท่านั้น ด้านขวา - เป็นปุ่มเปิด - ปิดเครื่อง
ด้านบน - มีข่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. และพอร์ตอินฟาเรต ด้านล่าง - จะมีทั้งช่องลำโพง พอร์ตไมโครยูเอสบี ที่สามารถใช้สายเฉพาะของซัมซุงสำหรับใช้เป็น USB 3.0 ให้โอนย้ายไฟล์ได้รวดเร็วขึ้น และขาร์จได้เร็วขึ้นด้วย และที่สำคัญคือช่องเก็บปากกา S-Pen
สำหรับสเปกภายในของ Galaxy Note 3 รุ่น N9000 มาพร้อมกับชิปเซ็ต Exynos 5 Octa 5420 ซึ่งจะเป็นหน่วยประมวลผลควอดคอร์ 2 ตัว ทำงานคู่กันคือ Cortex-A15 1.9 GHz และ Cortex-A7 1.3 GHz RAM 3 GB พื้นที่เก็บข้อมูลในตัวเครื่อง 32 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.3
ด้านการเชื่อมต่อรองรับ 3G 850 / 900 / 1900 / 2100 MHz ที่ความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 42 Mbps ส่วนไวไฟรองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac มี GPS NFC บลูทูธ 4.0 มาให้ครบ ตัวหน่วยความจำสามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้สูงสุด 64 GB
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
ถ้าถามว่าสิ่งที่เพิ่มมาใน Note 3 จริงๆมีอะไรบ้าง ก็คงจะเน้นไปที่ระบบ Air Command ที่มีการพัฒนาฟีเจอร์ของปากกา S-Pen ให้สามารถใช้ได้หลากหลายมากขึ้น 5 รูปแบบด้วยกัน เริ่มจากการที่ถอดปากกาออกมาจากช่อง จะเห็นคำสั่ง Air Command ลอยขึ้นมา ให้เอาใช้ปากกาไปจ่อๆเลือกใช้งานได้เลย
5 ฟังก์ชัน ที่อยู่ใน Air Command ประกอบไปด้วย Action Memo ที่เมื่อเรียกใช้จะเป็นการเรียกพื้นที่ขึ้นมาสำหรับจดข้อความ ความพิเศษของฟังก์ชันนี้คือ เมื่อจดออกมาเป็นประโยคหนึ่ง และด้วยความสามารถในการอ่านลายมี จะช่วยให้ข้อความเหล่านั้นสามารถแปลงไปใช้งานอย่างอื่นได้
ส่งผลให้ผู้ใช้สามารถนำข้อความ หรือตัวเลขที่จดนั้น สั่งงานไปเป็น การโทรออก ส่งข้อความ ส่งอีเมล เปิดเว็บไซต์ ซึ่งก็จะช่วยอำนวยความสะดวกในกรณีที่จดหมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่อีเมล หรือ URL เว็บไซต์ ก็จะสามารถเรียกใช้งานได้ทันที ไม่จำเป็นต้องไปนั่งพิมพ์หรือกดตัวเลขใหม่ในโหมดอื่นๆ
ถัดมาก็คือ Scrapbook ที่เป็นการจับภาพหน้าจอเฉพาะจุด และนำไปบันทึกรวมไว้ในสมุดภาพ ช่วยให้สามารถเก็บข้อมูลต่างๆที่สนใจรวมไว้ได้ อีกอันก็คือ Screen Writer เป็นการจดข้อความลงบนพื้นหลังที่เป็นหน้าจอ เพื่ออำนวยความสะดวกและส่งต่อไปยังเพื่อนๆได้ทันที
S Finder ถือเป็นอีกฟังก์ชันที่ช่วยให้ผู้ใช้งานค้นหาไฟล์ หรือข้อมูลต่างๆทั้งในตัวเครื่อง และใช้งานร่วมกับกูเกิลในการแสดงข้อมูลที่ค้นหาได้ด้วย สุดท้ายคือ Pen Windows ที่เป็นฟังก์ชันเรียกแอปพลิเคชันลัดขึ้นมาเป็น 1 หน้าต่างเล็กๆที่อยู่บนหน้าจอ อย่างเช่นเครื่องคิดเลข เว็บเบราว์เซอร์ ยูทิวบ์ โหมดโทรศัพท์
5 ฟังก์ชันนี้คือสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาหลักๆใน Note 3 นอกจากนี้ก็จะเป็นฟังก์ชันที่มีอยู่เดิมใน Note 8 หรือ S4 ที่นำมาเพิ่มความสามารถ อย่างเช่นในโหมด Multi Screen ที่เป็นการเปิดแอปฯ 2 หน้าจอ จากเดิมที่ใช้งานได้เฉพาะคนละแอปฯ แต่ใน Note 3 ก็จะมีบางแอปฯ ที่สามารถแยกหน้าต่างจากแอปฯเดียวกันได้
ส่วนความสามารถอื่นๆ อย่าง S-Beam Air View การสั่งงานโดยไม่ใช้มือสัมผัส โหมดหน้าจออัจฉริยะ โทรออกด้วยการยกหน้าจอขึ้นแนบหู ก็ยังคงความสามารถเช่นเดียวกับใน S4 มาแทบทั้งหมด ซึ่งในจุดนี้สามารถย้อนกลับไปอ่านที่ Review : Samsung Galaxy S4 สเปกเทพ ฟีเจอร์เยี่ยม
แต่ที่น่าเสียดาย สำหรับคนที่ชอบใช้ S Note ในการวาดรูปก็คือ แต่เดิมผู้ใช้สามารถกดปุ่มที่ตัว S-Pen เพื่อเปลี่ยนสี หรือแบบของปากกาได้ทันที แต่ใน Note 3 ซึ่งได้ปรับให้การกดปุ่มกลายเป็นการเรียก Air Command แทน ทำให้เวลาเปลี่ยนปากกา ต้องจิ่มเลือกเอาเหมือนใน Note รุ่นแรกแทน
นอกจากนี้ฟังก์ชันการใช้งานอื่นๆอย่างเว็บเบราว์เซอร์ ก็มีมาให้ 2 ตัว คือที่เป็นตัวเบราว์เซอร์ธรรมดา และตัว Chrome สามารถเลือกใช้ได้ตามความถนัด ซึ่งทั้ง 2 ตัวสามารถใช้งาน Air View และระบบเลื่อนหน้าจออัตโนมัติได้เช่นกัน
สำหรับแอปพลิเคชันที่ให้มาในเครื่องรอบนี้จะรวมๆกันอยู่ในหน้าเดียว คือมีแอปฯทั่วไปอย่างโทรศัพท์ รายชื่อ ข้อความ S Note สมุดภาพ อัลบั้มภาพ กล้องถ่ายรูป เพลง วิดีโอ แชทออน นาฬิกา ปฏิทิน อีเมล ตั้งค่า Samsunh Hub Samsunh Apps เพลยสโตร์ แผนที่ ยูทิวบ์
ส่วนที่เหลือจะมีการสร้างโฟลเดอร์รวมไว้อย่างแอปฯของซัมซุง ก็จะมี ตัวเว็บเบราว์เซอร์ บันทึกเสียง ที่จดโน้ตย่อ Knox เครื่องคิดเลข ดูไฟล์ในเครื่อง สร้างอัลบั้มรูป S Health Group Play Link WatchOn แปลภาษา S Voice และดาวน์โหลด
อันอื่นก็จะมีรวมๆของ แอปฯที่แถมให้ในเป็นสิทธิพิเศษอย่าง Galaxy Gift Samsung Showtime ซึ่งแอปฯพวกนี้สามารถใช้งานกับเครื่องในตระกูล Galaxy ได้ทั้งหมดอยู่แล้ว โดยโหลดผ่าน Galaxy App Center มาติดตั้งได้ทันที
ที่นี้มาไล่ดูหน้าตาของแอปฯ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอินเตอร์เฟส อย่างในโหมดนาฬิกา ก็จะปรับให้ดูมีลูกเล่นและสวยงามขึ้น สามารถตั้งเวลา วัน และรูปแบบการเตือนได้เพิ่มมากขึ้น ใช้ดูเวลาประเทศอื่นๆในโลก จับเวลา นับเวลาถอยหลังได้ตามปกติ
แหล่งรวมแอปฯ และคอนเทนต์ดีๆที่ซัมซุงคัดสรรมาให้ก็จะมีทั้ง Samsung Apps อันนี้จะเป็นการเลือกแอปฯที่น่าสนใจมาให้ผู้ใช้ได้โหลดกัน Samsung HUB จะเป็นเหมือนที่รวมคอนเทนต์อย่างหนังสือ เกม วิดีโอที่น่าสนใจ สุดท้ายก็คือ Galaxy App Center ที่เป็นแอปฯพิเศษสำหรับผู้ใช้งานชาวไทย
โหมดหน้าจอโทรศัพท์ รองรับการเดาเลขหมาย และรายชื่ออยู่ ตัวแป้นมีขนาดใหญ่ขึ้นตามขนาดหน้าจอช่วยให้สามารถใช้งานได้ง่าย และแน่นอนว่ายังรองรับการโทรด่วนอย่างเช่น เปิดหน้ารายชื่อ หรือข้อความอยู่ สามารถยกขึ้นมาแนบหูเพื่อโทรออกได้ทันที หน้าจอขณะสนทนาจะมีให้เลือกเปิด-ปิดระบบตัดเสียงรบกวน พักสาย เปิดลำโพง เพิ่มสาย ได้ตามปกติ
ในส่วนของโหมดกล้อง ก็แทบจะเป็นการนำฟีเจอร์ต่างๆของใน S4 มาใช้งานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพทั้งกล้องหน้ากล้องหลัง โหมดการบันทึกภาพต่างๆอย่าง บันทึกภาพพร้อมเสียง รูปต่างต่อเนื่องคล้ายวัตถุเคลื่อนไหว ลบบุคคลเคลื่อนไหวออกจากภาพ
แต่ที่น่าเสียดายคือ ในการถ่ายภาพในที่แสงน้อย ตัวกล้องจะปรับโหใดอัตโนมัติให้กลายเป็น HDR เพื่อถ่ายภาพชดเชยแสง ส่งผลให้บางจังหวะที่กล้องประมวลผลอยู่ อาจพลาดช็อตสำคัญๆไปก็ได้ ส่วนการใช้งานในโหมดวิดีโอ ก็สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p
แน่นอนว่าตัวกล้องจะมีเอฟเฟกต์สีต่างๆมาให้เลือกใช้งานกันด้วย จากการกดลูกศรที่อยู่ขอบล่างของหน้าจอ ก็จะขึ้นมาให้เลือกพร้อมภาพตัวอย่าง
อีกแอปฯหนึ่งที่น่าสนใจคือ KNOX ที่ทำขึ้นมาสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการความปลอดภัยของข้อมูล ด้วยการสร้างหน้าจอเสมือนในการใช้งานสมาร์ทโฟนขึ้นมา ควบคู่ไปกับการใช้งานหน้าปกติ เพียงแต่ถ้าจะเข้าสู่หน้าจอหลักของ KNOX จำเป็นจะต้องมีการใส่รหัสเพื่อยืนยันความปลอดภัย
โดยเมื่อเข้าไปใช้งานใน KNOX ข้อมูล หรือแอปฯ ที่ลงไว้ก็จะถูกเก็บไว้ในโหมดเสมือนทั้งหมด ไม่สามารถเปิดเข้าไปจากการใช้งานในโหมดปกติได้ เหมือนเป็นการแยกหน้าจอสำหรับใช้งานทั่วไป และทำงาน (ที่ต้องการความปลอดภัยของข้อมูล) ออกจากกัน
แนวคิดของโหมดดังกล่าว ก็จะคล้ายๆกับใน BlackBerry ที่เคยทำ Balance โหมดออกมาเพื่อแยกการใช้งานส่วนตัว และการทำงานออกจากกัน ซึ่งเชื่อแอปพลิเคชันที่จะน่าสนใจสำหรับผู้ที่นำสมาร์ทโฟนไปใช้งานเชื่อมต่อกับข้อมูลภายในบริษัทอย่างแน่นอน
สุดท้ายในส่วนของการตั้งค่า ซัมซุง จะแยกรูปแบบการตั้งค่าออกเป็น 4 ส่วนด้วยกันคือ การเชื่อมต่อ อุปกรณ์ ควบคุม และทั่วไป ซึ่งแต่ละหัวข้อจะมีอธิบายอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ผู้ใช้สามารถเข้าไปปรับตั้งค่าได้เลย
จุดที่แนะนำก็คือ ถ้าโหมดใดหรือฟังก์ชันใดไม่ค่อยได้มีการใช้งานก็ให้ปิดซะ เพื่อช่วยประหยัดแบตเตอรี่ แม้แต่เสียงปุ่มกด ความสว่างหน้าจอต่างๆ ถ้าปรับให้ลดน้อยลงได้ ก็จะช่วยประหยัดพลังงานได้เช่นเดียวกัน
ในส่วนของผลการทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Quadrant Standart และ Antutu ได้คะแนน 20,001 คะแนน และ 34,543 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 10 จุดพร้อมกัน
ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo ได้ 2,598 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ 1,206 คะแนน ทดสอบกราฟิกผ่าน Nenamark1 และ Nenamark2 ได้ 60.5 fps An3dBench 8,055 คะแนน และ An3dBenchXL 48,380 คะแนน
ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม Passmark PerformanceTest Mobile ได้คะแนน System 5,158 คะแนน CPU 19,312 คะแนน Disk 16,930 คะแนน Memory 3,239 คะแนน 2D Graphics 5,135 คะแนน และ 3D Graphics 1,709 คะแนน
ส่วนการทดสอบ CF-Bench และ 3D Mark ดูรายละเอียดได้จากรูปด้านล่าง
จุดขาย
- ความสามารถของปากกา S-Pen ที่ช่วยอำนวยความสะดวกมากขึ้น
- หน้าจอ 5.7 นิ้ว SuperAMOLD Full HD ที่แสดงผลด้วยสีสดคมชัด
- ฟังก์ชันต่างๆที่มีใน S4 ถูกนำมาไว้ใน Note 3 ทั้งหมด
ข้อสังเกต/ตอบจุดขายหรือไม่
- ยังไม่นำรุ่นที่รองรับ 4G และสามารถถ่ายวิดีโอ 4K เข้ามาจำหน่าย
- ฟังก์ชันกล้องถูกตัดลูกเล่นออกไปพอสมควร ไม่มีโหมดถ่ายภาพกลางคืน
ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป
ข้อมูลที่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภคที่ใช้สินค้าในตระกูล Note ซึ่งทางซัมซุง สำรวจมาพบว่าสัดส่วนการใช้งานระหว่างผู้หญิง และผู้ชายอยู่ที่ 60% ต่อ 40% ทำให้เห็นได้ว่า ในแง่ของสเปกเครื่องหรือความเทพของตัวเครื่องไม่ใช่จุดสำคัญในการขายสินค้าในไลน์นี้สักเท่าไหร่ แต่ขึ้นอยู่กับขนาดหน้าจอและความสามารถของตัวเครื่องมากกว่า
ดังนั้นผู้บริโภคที่เหมาะกับ Note 3 คงหนีไม่พ้นผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ แน่นอนว่ามีทั้งประสิทธิภาพ และความสามารถพิเศษที่เพิ่มขี้นมาอย่างการใช้ปากกา S-Pen ในการจดบันทึก หรือแม้กระทั่งสร้างสรรผลงานออกมา โดยที่ไม่จำเป็นต้องพกกระดาษ สมุด หรือปากกาไว้ใช้งานอีกต่อไป
แต่ถ้าคุณเป็นกลุ่มคนที่ไม่นิยมใช้ปากกาสักเท่าไหร่ (เชื่อว่าคนใช้ Note 2 ส่วนใหญ่ หยิบปากกาออกมาใช้แค่ช่วงแรก) ก็ยังมีตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาดอีกหลายรุ่น ซึ่งราคาประหยัดกว่าให้เลือกใช้กัน รวมถึงเรือธงรุ่นก่อนหน้าอย่าง Galaxy S4 ด้วย
เพราะกับราคาเปิดตัวที่ 23,500 บาท แม้ว่าจะให้มาเป็นรุ่น 32 GB แต่ถ้าเทียบกับคู่แข่งในระดับไฮเอนด์เหมือนกันอย่าง LG G2 จะอยู่ที่ 19,990 บาท หรือกระทั่ง Sony Xperia Z1 ก็อยู่ที่ 20,990 บาท ทำให้มีตัวเลือกค่อนข้างเยอะในตลาดนี้
ส่วนรีวิว Galaxy Gear ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมที่วางจำหน่ายพร้อมกับ Note 3 รอติดตามได้เร็วๆนี้ครับ
Company Related Links :
Samsung
CyberBiz Social