xs
xsm
sm
md
lg

Review : LG Optimus Hub ใส่เต็มฟีเจอร์ จับตลาดกลางราคาถูก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online




ตลาดกลาง - ล่าง กลายเป็นตลาดสำคัญของสมาร์ทโฟนแอลจี ไปอย่างเห็นได้ชัดจากความสำเร็จในการจำหน่าย Optimus One และ Optimus Black ดังนั้นการที่จะเห็นแอลจี รีเฟรชโปรดักส์พร้อมตั้งความหวังกับ Optimus Hub จึงเป็นสิ่งที่คาดเดาได้อย่างไม่ต้องสงสัย

การออกแบบและสเปก



การออกแบบของ Hub นั้นยังไม่ได้แตกต่างจากรุ่นเดิมๆมากนัก เพราะแอลจียังคงเน้นไปที่สมาร์ทโฟนหน้าจอสัมผัสแบบ Capasitive ขนาด 3.5 นิ้ว ความละเอียด HVGA (320 x 480 พิกเซล) ซึ่งเป็นจอ Nova เช่นเดียวกับ Black จึงให้ความสว่างของหน้าจอค่อนข้างสูง

จุดหนึ่งที่จะรู้สึกได้จากการสัมผัสคือวัสดุที่ใช้ดูแข็งแรงขึ้น มีการนำอะลูมิเนียมมาใช้ในบางส่วนของเครื่อง ไม่ใช่พลาสติกล้วนๆแบบเมื่อก่อน ทำให้ตัวเครื่องดูมีราคาขึ้นมา โดยขนาดรอบตัวของ Optimus Hub อยู่ที่ 113.4 x 60.8 x 11.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 123 กรัม

ด้านหน้า - นอกจากหน้าจอแล้ว ส่วนบนเป็นลำโพงสนทนา และเซ็นเซอร์ตรวจจับใบหน้าเพื่อปิดหน้าจอขณะสนทนา แต่ไม่มีเซ็นเซอร์ปรับระดับความสว่างหน้าจออัตโนมัติ มีสกรีนโลโก้ 'LG' พาดอยู่เหนือหน้าจอ

ส่วนล่างหน้าจอเป็นปุ่มเมนู ปุ่มโฮมที่มีการเล่นสีเพื่อให้แตกต่างจากปุ่มอื่น และปุ่มย้อนกลับ แบบสัมผัส ซึ่งจะมีไฟ LED เวลาใช้งานในที่มืด ทั้งนี้ ยังสามารถกดปุ่ม โฮม ค้างเพื่อเลือกใช้งานแอปพลิเคชันล่าสุดได้เหมือนเดิม



ด้านหลัง - มีกล้องความละเอียด 5 พิกเซล ไม่มีไฟแฟลช สามารถถ่ายวิดีโอได้ความละเอียด VGA เท่านั้น โดยสกรีนบนฝาหลังจะมีลวดลายคล้ายตารางสี่เหลี่ยมถี่ๆ เหมือนลายของฟิลม์เคฟล่า สามารถถอดฝาหลังที่เป็นพลาสติกได้จากการงัดจากส่วนล่าง



เมื่องัดฝาหลังออกมาจะพบกับ แบตเตอรี 1,500 mAh ที่มีช่องใส่ซิมการ์ดอยู่ใต้แบตฯ ส่วนช่องใส่ไมโครเอสดีจะอยู่ทางฝั่งขวา ทำให้สามารถถอดเปลี่ยน เมมโมรีการ์ดได้โดยไม่ต้องปิดเครื่อง หรือ ถอดแบตเตอรี




ด้านซ้าย - มีเพียงปุ่มปรับระดับเสียงเท่านั้น ส่วนด้านขวา ถูกปล่อยว่างไว้




ด้านบน - เป็นปุ่มเปิดเครื่อง และช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ด้านล่าง - มีพอร์ตไมโครยูเอสบี สำหรับเสียบสายชาร์จ เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ และช่องไมโครโฟนสนทนา



ส่วนสเปกภายในของ Optimus Hub ใช้หน่วยประมวลผล Qualcomm MSM7227T ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARMv6 ความเร็ว 800 MHz ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เวอร์ชัน 2.3.4 (Gingerbread) RAM 512 MB ROM 512 MB แต่เหลือพื้นที่ให้ลงโปรแกรมประมาณ 150 MB สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้สูงสุด 32 GB

ตัวเครื่องรองรับ 3G บนคลื่นความถี่ 900 / 2100 MHz ที่อัตราการดาวน์โหลดสูงสุด 3.6 Mbps มีบลูทูธ 3.0 ไว-ไฟ มาตรฐาน 802.11 b/g/n พร้อมระบะจีพีเอส วิทยุเอฟเอ็ม เข็มทิศดิจิตอล

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ และทดสอบประสิทธิภาพ

ความน่าสนใจของ Optimus Hub ไม่ได้อยู่ที่ฟีเจอร์ที่แปลกใหม่ แต่กลับอยู่ที่ความครบครันของฟีเจอร์ เมื่อเทียบกับราคาที่เสียไป ดังนั้นฟีเจอร์ของ Optimus Hub จึงแทบไม่ต่างกับเครื่องรุ่นพี่ก่อนหน้าอย่าง Optimus Black และมีบางฟีเจอร์ที่ขยับขึ้นไปเทียบกับ Optimus 2X ในบางจุด



เริ่มกันตั้งแต่อินเตอร์เฟสการใช้งานของ Optimus Hub ที่ยังคงแบ่งหน้าหลักออกเป็น 7 หน้าให้ผู้ใช้สามารถเลือกนำวิตเจ็ตมาใส่ โดยส่วนล่างจะมีไอค่อนลัดสำหรับเข้าใช้งานโทรศัพท์ รายชื่อผู้ติดต่อ ข้อความ และโปรแกรมทั้งหมด ซึ่งอินเตอร์เฟสนี้รู้จักกันในนาม LG Optimus UI 2.0 ซึ่งในส่วนของแถบ แจ้งเตือน (Notification) ยังคงเป็นรุปแบบเดิมคือมีปุ่มให้ควบคุม เสียง ไว-ไฟ บลูทูธ จีพีเอส และการใช้งานดาต้า ในส่วนบน ถัดลงมาเป็นแถบควบคุมเพลง รายชื่อเครือข่ายที่ใช้งาน และการแจ้งเตือนต่างๆ



แอปพลิเคชันที่มีมาในเครื่องของ Hub ที่มีการชูจุดเด่นในเรื่องการแชตด้วย จึงมีการลง eBuddy มาให้ใช้งานกัน รวมกับโปรแกรมทั่วๆไปอย่าง จีเมล ละติจูด แอลจีเวิร์ด แผนที่ มาเก็ต เพลส โพลาริส รีโมทคอล์ สมาร์ทแชร์ ทอล์ก ค้นหาด้วยเสียง เชื่อมต่อไวไฟเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ยูทูป กล้อง การนำทาง ข้อความ ข่าวสาร คลังภาพ เครื่องคิดเลข วิดีโอ ตั้งค่า ตัวจัดการแอปฯ

โทรศัพท์ นาฬิกา เว็บเบราว์เซอร์ บันทึกเสียง ปฏิทิน เพลง รายชื่อ วิทยุ และอีเมล ซึ่งตรงจุดนี้ผู้ที่เคยใช้งานแอลจีคงคุ้นเคยกันว่า สามารถเลือกแบ่งประเภทของแอปฯเป็นหมวดๆได้ รวมถึงปรับรูปแบบการแสดงผลให้เป็นแนวนอน จากเดิมที่ใช้เป็นแนวกริด สามารถเคลื่อนย้ายแอปฯข้ามไปมาระหว่างแคตาล็อกได้เป็นต้น



แอปฯคลังภาพ ยังคงเป็นรูปแบบมาตรฐานบนแอนดรอยด์ 2.3 ปรับการดูภาพได้เป็นแบบแสดงทั้งหมด และเลือกดูทีละภาพ และยังสามารถเลือกสามารถแชร์ภาพ ไปยังเครือข่ายสังคม ผ่านอีเมล บลูทูธ ไว-ไฟ และระบบสมาร์ทแชร์ รวมถึงตกแต่งภาพเล็กน้อยอย่างการ ตัดภาพ หมุนภาพ



โหมดโทรศัพท์มาแบบพื้นฐาน คือมีปุ่มกดตัวเลขพร้อมระบบคาดเดารายชื่อ โดยภายในมีหมวดให้เลือกสำหรับ โทร ดูประวัติการใช้งาน รายชื่อ และกลุ่ม หน้าจอสายเรียกเข้าจะเป็นแบบปุ่มให้กดเพื่อรับสาย ส่งข้อความ และปฏิเสธ ขณะที่หน้าจอสนทนา จะมีปุ่มพักสายอยู่มุมซ้ายบน ปุ่มเข้ารายชื่อ วางสาย เรียกปุ่มตัวเลข ใช้งานบลูทูธ ปิดเสียง และเปิดลำโพงให้เลือก



โหมดเครื่องเล่นเพลงแบ่งออกเป็นศิลปิน อัลบั้ม เพลง และรายการที่ตั้งไว้ ตัวเครื่องเล่นมาพร้อมระบบแสดงปกอัลบั้ม ชื่อศิลปิน ชื่อเพลง และปุ่มควบคุม ดูรายการเพลง สุ่มเพลง และเล่นซ้ำ โดยตรงจุดนี้สามารถกดเมนูขึ้นมาเพื่อเลือก แชร์เพลงผ่านสมาร์ทแชร์ เพิ่มเข้าไปในรายการ ตั้งเป็นเสียงเรียกเข้า ลบเพลง และแชร์เพลงได้



ระบบ สมาร์ทแชร์ (SmartShare) ที่พูดถึงก็คือระบบ DLNA ที่ผู้ใช้สมาร์ทโฟนคุ้นเคยกัน ที่ใช้การทำงานผ่านเครือข่ายไวเลส ในการส่งไฟล์มัลติมีเดียไปยังเครื่องเล่นอื่นที่เชื่อมต่ออยู่ในเครือข่าย ทั้งเพลง ภาพ และวิดีโอ ซึ่งความละเอียดของภาพก็ขึ้นอยู่กับสเปกของเครื่อง



ตัวจัดการแอปพลิเคชันที่แอลจีให้มาไว้สำหรับเคลีย RAM ในกรณีที่มีการเปิดโปรแกรมทิ้งไว้ และยังสามารถใช้ลบโปรแกรมที่ไม่ต้องการ ในกรณีที่ ROM ที่เป็นพื้นที่สำหรับลงโปรแกรมเหลือน้อย ซึ่งในที่นี้ ทั้ง 2 ส่วนจะมีข้อมูลแสดงรายละเอียดของการใช้หน่วยความจำต่างๆ



เว็บเบราว์เซอร์สามารถแสดงผล แฟลช ได้ตามความสามารถของเครื่อง แต่ถ้าใช้งานแฟลชหนักๆก็มีอาการกระตุกให้เห็น ดังนั้น อย่างเพิ่งหวังจะเล่นเกมเฟซบุ๊กแบบลื่นๆ ทั้งนี้ ตัวแอปฯ สามารถเปิดหน้าต่างได้สูงสุด 8 หน้าต่างพร้อมกัน ระบบการทำงานอื่นๆ ยังเป็นไปตามมาตรฐานของแอนดรอยด์เบราว์เซอร์



ปุ่มคีย์บอร์ดของแอลจี ยังทำออกมาได้ดีตามมาตรฐานเดิม กล่าวคือมีเลย์เอาท์คล้ายกับคีย์บอร์ดมาตรฐาน สามารถใช้การกดปุ่มซ้ำเพื่อเปลี่ยนตัวอักษร ซึ่งถ้าการใช้งานแนวตั้งเล็กเกินไป ก็สามารถเอียงเครื่องเพื่อใช้คีย์บอรืดในแนวนอน ซึงจะมีขนาดปุ่มใหญ่ขึ้น ทั้งนี้ ถ้าไม่ชอบเลย์เอาท์แบบนี้ก็สามารถหาดาวน์โหลดคีย์บอร์ดจากมาเก็ตได้เช่นเดิม



ภายใน LG Smart World จะเป็นแอปพลิเคชันที่ทางแอลจีคัดสรรมาให้ผู้ใช้งาน ซึ่งสามารถเลือกดูได้ตาม ประเภท โปรโมชัน แอปพิเศษ แอปฯสำหรับคุณ (ใช้เพศเป็นตัวแบ่ง) และแอปฯที่ติดตั้งภายในเครื่อง ทั้งนี้ เมื่อกดเข้าไปในแอปฯที่เลือก ก็จะแสดงผลคล้ายๆกับใน แอนดรอยด์มาเก็ต คือมี รูป คำวิจารณ์ และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง สามารถกดที่ 'ว่างอยู่' เพื่อเข้าไปในมาเก็ตในการโหลด



โหมดกล้องที่ให้ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ที่หน้าจอสามารถปรับซูม ปรับความสว่าง เลือกโหมดถ่ายภาพ ตั้งค่าความละเอียด สามารถเลือกใส่เอฟเฟกต์สี โดยทางฝั่งขวามีปุ่มชัตเตอร์ และสลับโหมดระหว่างภาพนิ่ง และวิดิโอ นอกจากนี้ยังสามารถปรับ ISO สมดุลแสงขาว ตั้งเวลาถ่ายภาพ ได้ที่โหมดตั้งค่า



การตั้งค่าภายในตัวเครื่องก็เป็นไปตามมาตรฐานของแอนดรอยด์ 2.3 มีการนำสีสันใส่มากขึ้น ไล่ตั้งแต่การตั้งค่าเชื่อมต่อ โทร เสียง หน้าจอ พิกัด แอปฯ บัญชีผู้ใช้ ส่วนตัว หน่วยความจำ ภาษา คำสั่งเสียง วันที่ และข้อมูลโทรศัพท์ ซึ่งจุดที่ค่อนข้างแตกต่างกับเครื่องรุ่นอื่นคือระบบ Wi-Fi Direct ที่กล่าวถึงนั่นเอง



เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องด้วยโปรแกรม Quadrant ได้คะแนนอยู่ราว 998 คะแนน ซึ่งเรียกได้ว่าใกล้เคียงกับเครื่องที่ใช้หน่วยประมวลผล 1GHz ในระดับราคาจำหน่ายเกินหมื่นบาท ขณะที่ทดสอบด้วย NeoCore ได้เฟรมเรตที่ 49.5 fps Nena Mark 1 ได้คะแนนประมาณ 35-36 fps และ An3DBench / An3DBench XL ได้คะแนน 5,508 และ 14,959 ตามลำดับ และตัวหน้าจอรองรับการสัมผัสทั้งหมด 8 จุดพร้อมกัน

จุดขาย

- จอ Nova ที่แอลจี เคลมว่าสว่างที่สุดในโลก
- ระบบ Wi-Fi Direct ใช้ส่งไฟล์ระหว่างเครื่องที่รวดเร็วขึ้น
- Smart Share ที่สามารถแชร์ไฟมัลติมีเดียไปยังเครื่องในเครือข่ายเดียวกัน
- ราคา 7,990 บาท จากเดิมที่ความสามารถระดับนี้อยู่ในช่วงหมื่นต้นๆ
- LG Smart World ที่แนะนำแอปฯน่าใช้งาน และควรมีติดเครื่องไว้
- ระยะเวลาในการใช้งานที่ยาวนาน บนแบตเตอรีขนาด 1,500 mAh สามารถใช้งานได้ 2 - 3 วัน ตามพฤติกรรมการใช้งาน

ข้อสังเกต/ตอบจุดขายหรือไม่

- การที่ให้จอที่สว่างที่สุดมา ทำให้แอลจีเลือกที่จะตัดเซ็นเซอร์ปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติออก อาจจะเพราะต้องการลดต้นทุนการผลิตก็เป็นได้
- ระบบ Wi-Fi Direct ยังหาอุปกรณ์มาจับคู่ได้ยาก เพราะยังไม่ใช่รูปแบบที่แพร่หลายเหมือนเช่นบลูทูธ แต่ถ้าจับคู่อุปกรณ์ได้แล้ว จะเร็วกว่าใช้บลูทูธส่งไฟหลายสิบเท่า
- กล้อง 5 ล้านพิกเซล แต่ยังไม่มีไฟแฟลช และถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงไม่ได้

ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป

เป็นที่รู้กันว่า Optimus Hub จะโดดเด่นที่ประสิทธิภาพของเครื่อง เมื่อเทียบกับราคาจำหน่ายซึ่งแอลจีวางราคาเปิดตัวไว้ที่ 7,990 บาท ทำให้ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มใช้แอนดรอยด์ ในงบประมาณที่ซื้อหาได้ ไม่สูงเกินไปนัก แต่ความสามารถที่ได้กลับมาแทบไม่แตกต่างจากเครื่องระดับหมื่นบาท



เพราะเท่าที่ลองใช้งาน ทั้งการเล่นเกม ที่เล่นเกมส่วนใหญ่ของแอนดรอยด์ได้ ตัวเครื่องถ้าลงแอปฯเพิ่มก็สามารถเปิดภาพยนตร์ความละเอียด 720p ดูได้ ความสามารถอื่นๆอย่างการใช้งาน อินเทอร์เน็ต อีเมล แชต โซเชียลเน็ตเวิรืกต่างๆ ทำได้ครอบคลุมหมด ดังนั้นจึงเชื่อว่า Hub น่าจะเป็น 1 ในตัวเลือกที่น่าสนใจในระดับราคานี้

ตัวเลือกอื่น

- Samsung Galaxy Cooperราคา 8,900 บาท ที่เปิดตัวมาสักพักหนึ่งแล้ว ประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน แต่เพิ่งปรับราคาลงมา จากหมื่นต้นๆ

- LG Optimus Net ราคา 6,900 บาท ที่เป็นตัวเล็กของค่ายแอลจี

Company Related Links :
LG








กำลังโหลดความคิดเห็น