xs
xsm
sm
md
lg

Review : Nokia 2700 Classic รุ่นพอเพียงฉบับอินเตอร์แบรนด์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online




Nokia 2700 Classic จัดเป็นมือถือที่ดูหรูหราที่สุดในบรรดาซีรีส์ 2 เลยก็ว่าได้ ทั้งการออกแบบภายนอกที่โดดเด่นสะดุดตา และฟังก์ชันภายในที่รองรับการใช้งานพื้นฐานครบวงจร ซึ่งไม่เพียงแค่ครบสมบูรณ์แบบเท่านั้นแต่คุณภาพที่ให้มาจัดว่ามีดีเกินตัวเช่นกัน ทำให้ลบภาพลักษณ์เดิมออกไปได้มากไม่น้อย โดยโนเกียหวังให้รุ่นนี้เป็นบรรทัดฐานใหม่ และหวังต่อกรกับเฮาส์แบรนด์ที่มีฟังก์ชันครบแต่คุณภาพทำได้ไม่เต็มที่

Feature on Nokia 2700 Classic



"Nokia 2700 Classic" เมื่อกดปุ่มเมนู(ปุ่มกลาง) ก็จะพบกับเหล่าเมนูที่แบ่งออกได้เป็น 10 เมนูหลัก ได้แก่ นัดหมาย(Organiser), รายชื่อ(Contacts), บันทึก(Log), เน็ต(Internet), ข้อความ(Messaging), คลังภาพ(Gallery), การตั้งค่า(Settings), สื่อ(Media) โดยฟีเจอร์เด่นๆของเครื่องรุ่นนี้ถูกรวมไว้ในหมวดสื่อทั้งหมด, แอปพลิเคชัน(Applications) และแผนที่(Maps)



โดยฟังก์ชันการทำงานภายในแต่ละเมนูสามารถเรียกใช้งานได้ง่ายไม่ซับซ้อน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เริ่มต้นการใช้งานโทรศัพท์มือถือ และผู้สูงวัยที่ต้องการอินเทรนด์แบบมีสไตล์ไม่ตกยุค สมุดโทรศัพท์รองกับการบันทึกได้กว่า 1,000 รายการ ตัวอักษรค่อนข้างใหญ่ชัดเจน รวมถึงตัวเลขที่กดผ่านแป้นพิมพ์ถือว่าใหญ่เต็มตาดี และต่อเนื่องด้วยการใช้หน้าจอ TFT-LCD แสดงผลสีที่ระดับ 262,144 สี ยิ่งทำให้เพิ่มความคมชัดขึ้นไปมากหากเทียบกับไลน์เดียวกันกับรุ่นก่อนหน้านี้

Media



เมนูนี้ถือเป็นศูนย์รวมมัลติมีเดียด้านความบันเทิง ซึ่งมีดีไม่แพ้กับรุ่นระดับกลาง-ไฮเอนด์ ประกอบไปด้วย กล้องถ่ายภาพนิ่ง, กล้องวิดีโอ, เครื่องเล่นเพลง, วิทยุ, เครื่องบันทึกเสียง, อีควอไลเซอร์ และขยายเสียงสเตอริโอ โดยอีควอไลเซอร์ กับขยายเสียงสเตอริโอ เป็นการเซ็ตค่าเสียงให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ซึ่งเหมือนกับที่มีอยู่ในการตั้งค่าของเครื่องเล่นเพลงนั่นเอง

Camera



มาไล่ดูจาก"กล้องดิจิตอล" กันก่อนเลย ซึ่งให้มาพร้อมกับความละเอียด 2 ล้านพิกเซล แต่ไม่ออโต้โฟกัส เมื่อเปิดใช้งานสามารถเลือกได้ว่าจะถ่ายภาพนิ่งหรือวิดีโอ โดยตัวเลือกของฟังก์ชันที่ให้มานั้นมีดังนี้ โหมดถ่ายภาพแนวตั้งและแนวนอน, ตั้งเวลาถ่ายเอง (3, 5 และ10 วินาที), ถ่ายภาพต่อเนื่อง, เอฟเฟกต์มีให้เลือกถึง 6 แบบ ได้แก่ ปกติ(Normal), สีลวงตา(False Colours), เฉดสีเทา(Greyscale), ซีเปีย(Sepia), เนกาทีฟ(Negative) และโซลาไรส์(Solarise) นอกจากนี้ยังมีปรับสมดุลสีขาว 4 แบบ ได้แก่ อัตโนมัติ(Auto), แสงแดด(Daylight), ทังสเตน(Tungsten) และนิออน(Fluorescent)



"การตั้งค่า"การใช้งานนั้นมีให้เลือกปรับแต่ง ดังต่อไปนี้ ปรับคุณภาพของภาพ สูง, ปกติ และธรรมดา ขนาดภาพมีให้เลือก 6 ขนาด ได้แก่ 1200 x 1600, 960 x 1280, 600 x 800, 480 x 640, 240 x 320 และ120 x 160 ความยาววิดีโอคลิปมีให้เลือก 2 แบบ คือค่าสำหรับ MMS กับค่าสูงสุดที่ใช้ได้ คุณภาพวิดีโอเลือกได้คล้ายๆกับการถ่ายภาพนิ่ง คือ สูง, ปกติ และธรรมดา ส่วนความละเอียดวิดีโอมีให้เลือกอยู่ 2 ขนาด ได้แก่ 176 x 144 กับ 128 x 96

นอกจากนี้ ยังมีให้เลือกปรับค่าเรื่องเวลาแสดงภาพตัวอย่าง ว่าจะไม่ให้แสดงตัวอย่าง หรือจะให้แสดงตัวอย่าง 3, 5, และ10 วินาที หรือจะจบตัวอย่างด้วยตัวเอง, เสียงกล้องถ่ายภาพ(เปิด-ปิด), ชื่อของภาพที่มีให้ตั้งว่าจะกำหนดแบบอัตโนมัติตามมาตรฐาน หรือจะตั้งเอง, ที่เก็บภาพและวิดีโอมีให้เลือกใช้ตั้งแต่ความจำในเครื่อง, การ์ดความจำ หรือแฟ้มข้อมูลอื่นๆ



ส่วน"กล้องวิดีโอ"นั้นลูกเล่นฟังก์ชันทุกอย่าง รวมถึงการตั้งค่าทุกส่วนเป็นแบบเดียวกับกล้องถ่ายภาพนิ่ง

หลังการใช้งานพบว่า ความละเอียดคมชัดพอใช้งานได้ สีสันภาพมีผิดเพี้ยนให้เห็นบางช่วงแสง โดยเฉพาะแสงจ้ามากๆสีจะซีดขาวอย่างชัดเจน และเนื่องจากไม่มีระบบโฟกัสวัตถุมาให้ ทำให้การใช้งานต้องอาศัยความนิ่งในการถ่ายพอสมควร รวมถึงการกะระยะระหว่างเลนส์กับวัตถุเองด้วย เวลาในการประมวลผลมีอาการหน่วงเล็กน้อยเมื่อบันทึกลงการ์ดหน่วยความจำ หากบันทึกลงตัวเครื่องจะเห็นอาการหน่วงค่อนข้างชัดเจนหลายวินาทีเลยทีเดียว แต่ถ้าเปรียบเทียบกับค่าตัวที่เปิดมาก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อกันเลยทีเดียว

Music Player



"เครื่องเล่นเพลง" ของรุ่นนี้รองรับไฟล์เสียง ประเภท MP3, WMA, AAC, WAV, MIDI และAMR สามารถเลือกใช้งานเครื่องเล่นเพลงได้โดยการเข้าที่เมนู สื่อ > เครื่องเล่นเพลง เมื่อเข้าสู่เครื่องเล่นเพลงจะพบกับเมนูเพลงที่แยกออกเป็น เล่นทั้งหมด, รายการเพลง, ศิลปิน, อัลบั้ม, ประเภท และวิดีโอ แล้วแต่ว่าจะเลือกใช้งานแบบไหน โดยหน้าตาของเครื่องเล่นเพลง ประกอบไปด้วย ชื่อเพลงที่เล่นอยู่ทางด้านบน ถัดลงมาชื่ออัลบั้ม, ชื่อศิลปิน หากเพลงที่กำลังเล่นมีรูปอัลบั้มก็จะโชว์แทรกอยู่ที่บริเวณนี้ ทางด้านล่างเป็นสเกลบอกเวลาในการเล่นเพลง และปุ่มควบคุมเครื่องเล่นเพลง โดยฝั่งซ้ายของปุ่มควบคุมมีสัญลักษณ์บอกให้รู้ถึงการเล่นแบบสุ่ม เล่นวนซ้ำ ส่วนฝั่งขวามีขีดบอกระดับเสียง (มีอยู่ด้วยกัน 10 ขีด)



"การตั้งค่า" ของเล่นเพลง ได้แก่ จะให้เล่นเพลงแบบสุ่มหรือไม่, การเล่นเพลงซ้ำ ทั้งวนซ้ำเฉพาะเพลงปัจจุบัน และวนซ้ำทั้งรายการเพลง, การปรับอีควอไลเซอร์ซึ่งเลือกปรับได้ดังนี้ แบบปกติ, ป๊อป, ร็อค, แจ๊ส, คลาสิก และปรับแต่งเสียงด้วยตัวเองได้อีก 2 รูปแบบ นอกจากนี้ยังสามารถขยายเสียงสเตอริโอ(เปิด-ปิด) และเปลี่ยนลักษณะของเครื่องเล่นเพลง(ธีม)ได้อีกด้วย

หลังการใช้งานเครื่องเล่นเพลงพบว่า เสียงของรุ่นนี้มีดีไม่แพ้เครื่องในตระกูล "XpressMusic" เลยทีเดียว โดยเสียงที่ขับออกมาทางลำโพงด้านหลังนั้น ให้เสียงได้ค่อนข้างใสออกโทนแหลมสูง เมื่อเร่งระดับเสียงไปจนสุดไม่พบอาการเสียงแตกพร่าแต่อย่างใด ความดังจัดว่าดังชัดเจนเสียงดนตรีออกครบ มีมิติกังวาลให้ได้ยินอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าวางตัวเครื่องหงายขึ้นความดังจะถูกลดลงอย่างชัดเจน เนื่องจากลำโพงอยู่ทางด้านหลังเครื่องนั่นเอง

FM Radio



"วิทยุ FM" ยังคงต้องอาศัยชุดหูฟังเป็นเสาอากาศคอยรับสัญญาณเช่นเดิม มีระบบสแกนหาความถี่ทั้งแบบค้นหาอัตโนมัติ และค้นหาด้วยตัวผู้ใช้งานเอง เมื่อแสกนความถี่ได้ตามต้องการแล้วสามารถเลือกที่จะจัดเก็บได้ (20 สถานี) ส่วนการตั้งค่า มีให้เลือกเปิด-ปิด RDS , เปิด-ปิดหาคลื่นอัตโนมัติ, รูปแบบการฟังได้ว่าจะฟังผ่านชุดหูฟัง หรือฟังผ่านลำโพงของเครื่อง, ระบบเสียงมีให้เลือกใช้งานระหว่างสเตริโอ กับโมโน และสามารถปลี่ยนลักษณะของเครื่องเล่นวิทยุ(ธีม) ได้เหมือนกับเครื่องเล่นเพลงนั่นเอง

Internet & Maps



ส่วนการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตรองรับ GPRS/EDGE Class 10 ความไวจัดอยู่ในระดับปานกลางซึ่งไม่ไวเท่าระดับ Class 32 เป็นแน่ ทำให้โนเกียเลือกใส่เบราว์เซอร์ โอเปร่า ฉับบมินิ(Opera Mini) ที่มีคุณสมบัติเรื่องความไวในการโหลดหน้าเว็บเพจที่เรียกใช้นั่นเอง นอกจากนี้ ยังมีเบราว์เซอร์ของโนเกีย ที่เป็นแหล่งรวมบริการออนไลน์ยอดนิยมของทางโนเกียให้เลือกใช้บริการด้วย ซึ่งแน่นอนว่ารุ่นนี้ต้องรองรับการเล่นวิดีโอแบบสตรีมมิงแน่นอน ส่วนด้านการนำทางเครื่องรุ่นนี้ไม่มี GPS ติดมาให้ มีเพียงแค่แผนที่ใส่มาให้เท่านั้น ถ้าต้องการนำทางต้องให้อุปกรณ์เสริมมาเชื่อมต่อภายหลังครับ

Design of Nokia 2700 Classic



มาดูที่ดีไซน์กันบ้างครับ ขอบอกก่อนว่าแม้ค่าตัวจะน้อยนิดแต่รูปลักษณ์มีดีเกินค่าตัวที่ตั้งมาจริงๆครับ ซึ่งเครื่องรุ่นนี้ถูกออกแบบให้อยู่ในรูปทรงแท่งแบบทื่อๆตามสไตล์โนเกีย เหมือนกับที่เราๆท่านๆต่างก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่ดีไซน์รุ่นนี้ไม่ได้ทื่อธรรมดาทั่วๆไปนะครับ หากยังแฝงความหรูหรา ทั้งด้านหน้าที่เคลือบแบบมันเงา และความโค้งมนทั้ง 4 ด้านของตัวเครื่องที่สื่อถึงความหรูหรา ทำให้เมื่อพบเห็นแล้วน่าหยิบใช้งานมากกว่าในอดีต ซึ่งต้องบอกว่าโนเกียพัฒนาเครื่องระดับนี้ได้ดีทีเดียว รุ่นนี้ใช้วัสดุที่ทำจากพลาสติกทั้งตัวเครื่อง มีขนาด 109.2 x 46 x 14 มม. น้ำหนัก 85 กรัม



ด้านหน้า : ผิวตัวเครื่องด้านนี้มีลักษณะมันวาว ขอบเครื่องด้านข้างเคลือบด้วยโครเมียม ไล่จากด้านบนสุดเป็นลำโพงสนทนาถูกวางอยู่ตรงกึ่งกลางของตัวเครื่อง ถัดลงมาเป็นยี่ห้อ 'Nokia' วางพาดอยู่ตรงกึ่งกลางเช่นเดียวกัน ถัดลงมาเป็นจอแสดงผลแบบ TFT-LCD 262,144 สี ขนาด 2 นิ้ว (ความละเอียด 240 x 320 พิกเซล)



ใต้จอแสดงผลเป็นส่วนของแผงปุ่มควบคุมถูกออกแบบให้ราบเรียบ ดูกลมกลืนไปกับพื้นผิวทางด้านหน้าและยังคงความมันวาวอยู่ ซึ่งปุ่มควบคุมประกอบไปด้วย ปุ่มซอฟต์คีย์ซ้าย ปุ่มควบคุม 5 ทิศทาง ปุ่มซอฟต์คีย์ขวา ปุ่มรับสาย ปุ่มวางสาย(กดค้างเปิด-ปิดเครื่อง) ถัดลงมาเป็นแผงปุ่มตัวเลข-อักษรทั้งหมดตามมาตรฐาน ซึ่งดีไซน์ให้มีเส้นคั้นแบ่งระหว่างปุ่มควบคุมกับแผงกดตัวเลข(ดูเผินๆคล้ายโทรศัพท์สไลด์เครื่องออก)



ด้านหลัง : ไล่จากบนสุดจะพบกับเลนส์กล้องค่อนข้างใหญ่ถูกวางไว้อย่างสะดุดตาอยู่ตรงกึ่งกลาง พร้อมข้อความการันตีความละเอียดของเลนส์กล้องที่ระดับ 2.0 ล้านพิกเซลทางด้านขวาของเลนส์ ถัดลงมาใต้เส้นแบ่งคั่นมียี่ห้อ 'NOKIA' วางพาดอยู่อีกหนึ่งจุด ส่วนด้านล่างเป็นช่องระบายเสียงของลำโพงที่อยู่ทางด้านใน พื้นผิวทางด้านนี้เป็นแบบเรียบด้าน



เมื่อเปิดฝาหลังออกโดยการสไลด์ลงเข้าหาตัวจะพบกับเลนส์กล้องทางด้านบน แบตเตอรี่ชนิด Li-Ion 1,020 mAh (BL-5C) อยู่ตรงกึ่งกลางของเครื่อง และช่องลำโพงเสียงอยู่ทางด้านล่าง(ตามลำดับ) หากถอดแบตฯออกจะพบกับช่องใส่ซิมการ์ดอยู่ทางด้านขวา



ด้านขวา : มีเพียงช่องใส่การ์ดหน่วยความจำแบบไมโครเอสดี พร้อมพลาสติกหุ้มปิดอย่างมิดชิด ซึ่งการ์ดหน่วยความจำสามารถใส่ได้สูงสุด 2 GB ทั้งนี้ ช่องการ์ดหน่วยความจำสามารถถอดเปลี่ยนได้เลย (Hot Swap) โดยไม่ต้องปิดเครื่องหรือถอดแบตฯออกก่อนอยู่บนสุดเท่านั้น



ด้านซ้าย : มีเพียงช่องสำหรับร้อยสายคล้องมือ- คอ ที่ผูกมาจากด้านในตัวเครื่องเท่านั้น





ด้านบน และด้านล่าง : ด้านบนไล่จากด้านซ้ายมือเป็นช่องเสียบหูฟัง ขนาด 3.5 ม.ม.(Nokia AV Connector) ถัดมาช่องเสียบสายชาร์จแบตเตอรี่ และริมสุดด้านซ้ายเป็นช่องเชื่อมต่อแบบ MicroUSB พร้อมฝาพลาสติกปิดมิดชิด ซึ่งใช้สำหรับซิงโครไนซ์ข้อมูลต่างๆ และ ส่วนทางด้านล่างถูกปล่อยไว้แบบราบเรียบไม่มีปุ่มใดๆทางด้านนี้

บทสรุป

สำหรับ Nokia 2700 Classic เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เหมาะกับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการฟังก์ชันภายในหรูหรา รวมถึงงบประมาณในกระเป๋ามีจำกัดแต่ต้องการความคุ้มค่าสมราคา เนื่องจากรุ่นนี้ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 3,420 บาทเท่านั้น เรียกได้ว่ามีเงินติดกระเป๋า 3,500 บาทก็สามารถคว้ามาเป็นเจ้าของได้ไม่ยากเย็นนัก

ความคุ้มค่าที่ว่าสมน้ำสมเนื้อกับค่าตัวนั้น ประกอบไปด้วย การดีไซน์ที่ดูเป็นพรีเมียมมากขึ้น แต่ก็แฝงมาข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ขอบเครื่องที่เคลือบโครเมียมมาให้อาจจะลอกออกได้ในอนาคต ปุ่มกดตัวอักษร-ตัวเลขค่อนข้างแข็งกระด้างไปสักนิด ต้องใช้เล็บจิกช่วยในการกดบางจังหวะ ส่วนฟังก์ชันภายในใส่มาให้แบบไม่กั๊กเช่นเดียวกัน รองรับการใช้งานพื้นฐานครบครัน แถมแอปฯแผนที่ติดมาให้ใช้งานกันด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่มี GPS ติดมาในตัวก็ตาม

การเชื่อมต่อมีบลูทูธ, พอร์ต Micro USB, ช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มม. ส่วนการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสามารถทำได้ผ่าน WAP 2.0 บนเครือข่าย EGDE กับ GPRS โดยใช้เบราว์เซอร์ Opera mini รองรับ 'Flash Player' รองรับการส่งข้อความครบทุกรูปแบบ SMS, MMS, E-mail เรียกได้ว่ารุ่นเล็กก็ไม่ทำให้ผู้ใช้งานพลาดการติดต่อได้ง่ายๆเช่นกัน

การใช้งานสามารถเข้าใจง่ายโดยไม่ต้องง้อคู่มือ การตอบสนองของเครื่องทำได้ลื่นไหลและค่อนข้างไว ไม่มีอาการหน่วงให้เห็น เว้นแต่หลังการกดชัตเตอร์เมื่อเลือกบันทึกภาพลงบนตัวเครื่อง เสียงสนทนาดังฟังชัดทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนระยะการใช้งานของแบตฯที่ให้มาสามารถใช้งานได้ค่อนข้างยาวนาน เมื่อลองเปิดเล่นเพลง, ฟังวิทยุ, ถ่ายภาพ, เล่นอินเทอร์เน็ต และสนทนาโทรศัพท์ วันละประมาณ 1 ชั่วโมง สามารถใช้งานได้ 2 วันเต็มสบายๆ แถมเหลือใช้ได้ต่อได้อีกปาระมาณค่อนวันเลยทีเดียว ใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 2 ชั่วโมง

ขอชม

- ดีไซน์หรูหราน่าใช้งาน รวมถึงฟังก์ชันต่างๆใช้งานง่าย
- ขนาดกะทัดรัดพกพาไปไหนได้สะดวก
- ลูกเล่นครบครันเกินค่าตัว พลังงานแบตฯอึด

ขอติ

- ปุ่มกดอักขระอักษร-ตัวเลขค่อนข้างกระด้างไปสักนิด เวลาใช้ต้องออกแรงกดพอสมควร
- โครเมียมขอบเครื่องให้ความหรูหราก็จริง แต่อาจเกิดลอกได้ง่ายในอนาคต
- ภาพถ่ายมีโอกาสเบลอสูงมาก เนื่องจากกล้องไม่มีออโต้โฟกัสมาให้

Company Related Links :
Nokia





ตัวอย่างภาพถ่ายโหมดปกติ
ตัวอย่างภาพเมื่อใช้เอฟเฟกต์ที่ใส่ให้มา
ตัวอย่างภาพถ่ายเมื่อปรับสมดุลแสงสีขาวทั้ง 4 แบบ
กำลังโหลดความคิดเห็น