xs
xsm
sm
md
lg

ส.อ.ท.ตั้งเป้าปี69ผลิตรถยนต์ใกล้เคียงปีนี้ที่ 1.45 ล้านคัน คาดส่งออก 9.5แสนคัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กลุ่มยานยนต์ส.อ.ท. ตั้งเป้าปี69 ยอดการผลิตรถยนต์เท่าปีนี้ที่ 1.45 ล้านคัน แบ่งเป็นเป้าส่งออก 9.5แสนคันและขายในประเทศ 5 แสนคัน โดยการผลิตรถยนต์ในเดือนพฤศจิกายน 2568 อยู่ที่ 130,222 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.06 ส่วนการส่งออก 78,692 คัน ลดลงร้อยละ 12.22

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ส.อ.ท.ตั้งเป้ายอดผลิตรถยนต์ในปี2569เท่ากับเป้าหมายเดิมในปีนี้ที่ 1.45 ล้านคัน แบ่งเป็นเป้าหมายการขายในประเทศ 5 แสนคัน และส่งออก 9.5 หมื่นคัน โดยในปี2568 เป้าหมายการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ในประเทศทำได้ตามเป้า ส่วนการส่งออกรถยนต์รอบ 11เดือนปี2568 อยู่ที่ 850,787 คัน คาดว่าทั้งปีจะส่งออกได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้

จำนวนการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในเดือนพฤศจิกายน 2568 มีทั้งสิ้น 130,222 คัน ลดลงจากเดือนตุลาคม 2568 ร้อยละ 4.03 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2567 ร้อยละ 11.06 มาจากการผลิตเพื่อขายในประเทศที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 57.49 เนื่องจากต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยในอัตรา 1.5 เท่าของยอดรถไฟฟ้านำเข้ามาจำหน่ายในปี 2565 – 2566 ที่ยังผลิตไม่ครบในปีที่แล้ว ส่งผลให้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 1,974.14 และผลิตรถกระบะเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.34 จากการผลิตเพื่อขายในประเทศที่ผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 44.31

ส่วนจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม - พฤศจิกายน 2568 มีทั้งสิ้น 1,341,714 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 1.64

รถยนต์นั่ง เดือนพฤศจิกายน 2568 ผลิตได้ 52,887คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2567 ร้อยละ 16.26 โดยแบ่งเป็นรถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine :ICE มีจำนวน 20,892 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 27.65 ,รถยนต์นั่ง BEV(Battery Electric Vehicle )มีจำนวน 9,624 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 1,974.1 รถยนต์นั่งPHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle )มีจำนวน 437 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 13.21 ส่วนรถยนต์นั่งHEV( Hybrid Electric Vehicle ) มีจำนวน 21,934 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 39.13

สำหรับยอดผลิตของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม - พฤศจิกายน 2568 มีจำนวน 504,597 คัน เท่ากับร้อยละ 37.82 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.90


นายสุรพงษ์ กล่าวว่า การผลิตเพื่อส่งออกรถยนต์เดือนพฤศจิกายน 2568 ผลิตได้ 71,589 คัน เท่ากับร้อยละ 54.97 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2567 ร้อยละ 10.54 ส่วนเดือนมกราคม - พฤศจิกายน 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 862,886 คัน เท่ากับร้อยละ 64.31 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 8.39

รถยนต์นั่ง เดือนพฤศจิกายน 2568 ผลิตเพื่อการส่งออก 16,818 คัน ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2567 ร้อยละ 29.71 และตั้งแต่เดือนมกราคม - พฤศจิกายน 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 192,314 คัน เท่ากับร้อยละ 38.11 ของยอดผลิตรถยนต์นั่ง ลดลงจากเดือนมกราคม - พฤศจิกายน 2567 ร้อยละ 31.50

ส่วนการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ เดือนพฤศจิกายน 2568 ผลิตได้ 58,633 คัน เท่ากับร้อยละ 45.03 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2567 ร้อยละ 57.49 และเดือนมกราคม - พฤศจิกายน 2568 ผลิตได้ 478,828 คัน เท่ากับร้อยละ 35.69 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 13.42 โดยรถยนต์นั่งเดือนพฤศจิกายน 2568 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 36,069 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 67.25 และตั้งแต่เดือนมกราคม - พฤศจิกายน 2567 ผลิตได้ 312,283 คัน เท่ากับร้อยละ 61.89 ของยอดการผลิตรถยนต์นั่ง เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.69


ด้านยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนพฤศจิกายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 51,044 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคม 2568 ร้อยละ 8.53 และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2567 ร้อยละ 20.65 จากรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่ขายได้เพิ่มขึ้นเพราะราคาจับต้องได้มากขึ้นและรถกระบะดัดแปลง PPV ที่บางบริษัทเพิ่งขายในปีนี้ รถกระบะไฟฟ้าและรถกระบะไฟฟ้าเพิ่มระยะทางที่เริ่มขายในปีนี้รวมทั้งหลักฐานการเงินของผู้ซื้อรถกระบะแข็งแรงขึ้น ช่วยให้ยอดขายรถกระบะไม่ลดลงเป็นเดือนแรก ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงช่วยลดภาระรายจ่ายซื้อสินค้าจำเป็นอื่น ๆ เป็นการเริ่มต้นสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้นเสียที

โดยช่วงเดือนมกราคม - พฤศจิกายน 2568 ยอดขายรถยนต์ 546,045 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 5.28 แบ่งเป็นรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 352,689 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 13.90 , รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 117,043 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 9.58 ,รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 100,553 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 63.65 ,รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 8,020 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 281.18 , รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 126,352 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 19.84 ,รถกระบะมีจำนวน 128,189 คัน ลดลงร้อยละ 13.93 เป็นต้น

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า เดือนพฤศจิกายน 2568 ส่งออกรถยนต์ได้ 78,692 คัน ลดลงจากเดือนที่แล้วร้อยละ 5.26 และลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2567 ร้อยละ 12.22 จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปภายในบางรุ่นเพื่อส่งออก ส่งผลให้ส่งออกรถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปภานในลดลงถึงร้อยละ 43.53 และส่งออกรถกระบะลดลงร้อยละ 6.39 แต่ยังคงส่งออกรถกระบะไฟฟ้าและรถยนต์นั่งไฟฟ้าต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางปี ตลาดส่งออกเพิ่มขึ้นมีแค่เอเชีย ออสเตรเลียและโอเชียเนีย เท่านั้น มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 52,219.97 ล้านบาท ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2567 ร้อยละ 9.90

การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในช่วง 11เดือนปีนี้ 850,787 คัน ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 9.77 แบ่งเป็นรถกระบะ 519,254 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 61.03 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 2.73 ,รถกระบะ BEV 287 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 0.03 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก ,รถยนต์นั่ง ICE 149,178 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 17.53 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 37.22 ,รถยนต์นั่ง BEV 6,335 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 0.74 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก ,รถยนต์นั่ง PHEV 1,407 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 0.17 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก , รถยนต์นั่ง HEV 48,433 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 5.69 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 7.79 และรถ PPV 125,904 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 14.80 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 0.46 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์ 567,983.18 ล้านบาท


กำลังโหลดความคิดเห็น