xs
xsm
sm
md
lg

“ศุภจี”ดัน New Rice Economy ปั้น “ข้าวประณีต” ขายสตอรี-คุณภาพ ให้คนพร้อมจ่ายเหมือนซื้อกาแฟ-ไวน์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปี ๆ หนึ่ง ประเทศไทยปลูกข้าวได้ประมาณ 27 ล้านตันข้าวเปลือกบวกลบ แล้วแต่ว่าน้ำดี น้ำแล้ง แต่ผลผลิตก็อยู่ประมาณนี้ คิดเป็นข้าวสารก็ตกประมาณ 16 ล้านตันนิด ๆ ในนี้ส่งออกประมาณครึ่งหนึ่ง บริโภคในประเทศครึ่งหนึ่ง แต่ก็เหลือส่วนเกินอยู่ประมาณหนึ่งที่ต้องบริหารจัดการ ซึ่งปี 2568/69 คาดว่า จะมีผลผลิตที่ต้องบริหารจัดการราว ๆ 3 ล้านตัน ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีมาตรการเข้าไปดูแลราคาข้าวแล้ว ทั้งสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก สินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่ม ชดเชยดอกเบี้ยโรงสี และให้ 3 หน่วยงานรัฐ อคส. อ.ต.ก. และธ.ก.ส. เข้าไปซื้อ

ผลการดำเนินการในช่วงที่ผ่านมา นับตั้งแต่ผลผลิตข้าวเปลือกนาปี 2568/69 ออกสู่ตลาดตั้งแต่ช่วงต้นเดือน พ.ย.2568 ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน ราคาข้าวได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาข้าว ณ วันที่ 4 ธ.ค.2568 ข้าวเปลือกหอมมะลิอยู่ที่ 15,300-17,000 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 13,000-16,300 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเจ้า 6,500-7,800 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกปทุมธานี 8,700-9,200 บาทต่อตัน และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว 8,700-12,400 บาทต่อตัน

ทั้งนี้ หนึ่งในมาตรการที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ได้เห็นชอบ เมื่อครั้งการประชุมเมื่อวันที่ 18 พ.ย.2568 ที่ผ่านมา ก็คือ การผลักดัน “ข้าวไทยสู่เศรษฐกิจอนาคต” (New Rice Economy) โดยเป็นมาตรการที่จะผลักดันเกษตรกรให้ปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวไปสู่ข้าวคุณภาพสูง หรือนับจากนี้ จะเรียกว่า “ข้าวประณีต” เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิต ช่วยให้มีตลาดรองรับ และสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับความโดดเด่นของข้าวไทยได้มากยิ่งขึ้น


ดันข้าวไทยสู่เศรษฐกิจอนาคต

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ตอนที่เข้ามารับตำแหน่ง ช่วงปลายเดือน ก.ย.2568 เรามีข้อมูลว่า ปีนี้จะมีข้าวประมาณ 25.3 ล้านตัน แต่ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 27 ล้านตัน แปลว่าปีนี้ ไทยจะมีสต็อกเกินอยู่มาก ตอนแรกคิดว่าจะมีประมาณ 1.8 ล้านตัน ตอนนี้เพิ่มเป็นประมาณ 3 ล้านกว่าตัน ก็ต้องบริหารจัดการส่วนเกินตรงนี้ ซึ่งรัฐบาลมีมาตรการดูแลออกมาแล้ว แต่เราว่ายังไม่พอ ก็ต้องคิดต่อ ทำต่อ เพราะข้าวที่ไทยผลิตได้ ครึ่งหนึ่งต้องพึ่งพาการส่งออก การจะสู้ด้วยปริมาณ อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก เพราะเรามีทรัพยากรพื้นที่จำกัด และต้นทุนการเกษตรที่สูงขึ้น

ยกตัวอย่าง เวียดนามมีผลผลิตต่อไร่ได้ประมาณ 1,200-1,500 กิโลกรัมต่อไร่ แต่ข้าวไทยผลผลิตต่อไร่ประมาณ 600 กิโลกรัมเท่านั้น ทั้งที่ต้นทุนในการเพาะปลูก ทั้งเรื่องน้ำ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง หรือเมล็ดพันธุ์ ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากเลย การผลผลิตน้อยกว่าเขาเกือบครึ่ง ทำให้สู้เรื่องราคาได้ยากมาก ดังนั้น ต้องเร่งเพิ่มผลผลิตต่อไร่ของเกษตรกรไทยให้มากขึ้น และผลิตข้าวที่มีความหลากหลายเพื่อตอบโจทย์ตลาดให้ได้มากยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของการผลักดันข้าวไทยสู่เศรษฐกิจอนาคต หรือ New Rice Economy

โดยใน New Rice Economy จะใช้จุดแข็งของข้าวไทย ที่มีความหลากหลาย จะไม่มุ่งที่ปริมาณ แต่มุ่งคุณภาพ เพื่อสร้างความแตกต่าง เพราะผู้บริโภคสมัยนี้ มีความต้องการที่หลากหลาย บางคนชอบข้าวขาว ข้าวเหนียว ข้าวนุ่ม ข้าวแข็ง จะเห็นได้ว่าแต่ละคน ชอบไม่เหมือนกัน แต่ข้าวที่ไทยผลิตได้ ส่วนมากเป็นข้าวพื้นแข้ง ความหลากหลายยังไม่มากพอ ทั้ง ๆ ที่ไทยมีพันธุ์ข้าวเป็นจำนวนมาก น่าจะถึง 5,000 สายพันธุ์ จึงเป็นเรื่องท้าทาย ที่จะต้องปรับ ต้องสนับสนุน เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายการผลิตข้าวคุณภาพสูง ตรงตามความต้องการของตลาด เพราะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มาก

“ในจำนวนข้าวที่ไทยผลิตได้ทั้งหมด ข้าวหอมมะลิ ไม่น่าเป็นห่วง ผลผลิตแต่ละปีมีประมาณ 6 ล้านตัน ออกมาเท่าไร ก็ขายหมด ขายได้ราคาดี ขึ้นอยู่กับว่าราคาจะดีแค่ไหน ตอนนี้ช่วยกันทำจนราคาขึ้นมาอยู่ประมาณ 16,000-17,000 บาทต่อตันแล้ว ที่เหลือเป็นข้าวชนิดอื่นที่ต้องดูแล จึงต้องมาคิด มาปรับว่าจะทำอย่างไร เรื่องผลผลิตข้าว เราต้องดูแลตั้งแต่เรื่องเมล็ดพันธุ์ การเก็บเกี่ยว บรรจุภัณฑ์ การสร้างแบรนด์ และการทำตลาด ซึ่งทั้งหมดนี้ทำอยู่ และต้องคิดต่อว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกอย่างไร เพราะถ้ามัวแต่แข่งปริมาณ ก็แข่งยาก ถ้าแข่งคุณภาพ สู้ได้ จึงเป็นที่มาของการทำข้าวประณีต”นางศุภจีกล่าว


ทำไมต้องเป็นข้าวประณีต

จากนั้น เมื่อนโยบายชัดเจน ได้มีการคิดกันว่า จะใช้คำเรียกข้าวที่มีคุณภาพ ข้าวที่มีคุณลักษณะพิเศษ หรือข้าวพรีเมียมที่จะผลักดันอย่างไร สุดท้ายตกผลึกกันที่ “ข้าวประณีต” เป็นคำภาษาไทย แล้วให้ความรู้สึกว่า เป็นข้าวที่มีคุณค่า โดยนิยามของข้าวประณีต คือ เป็นข้าวที่โดดเด่น มีคาแรกเตอร์ชัดเจน ทั้งเรื่องรสชาติ คุณภาพ มีที่มา การปลูกปลอดภัย หรือเป็นอินทรีย์ไปเลย แต่ที่ผ่านมา คนรู้จักพันธุ์ข้าวต่าง ๆ ของไทยน้อยมาก รู้จักกันแค่ไม่กี่สายพันธุ์ รู้จักข้าวหอมะลิ รู้จักข้าวสังข์หยด แต่ยังมีอีกเยอะที่คนไม่รู้จัก

ปัจจุบันข้าวพันธุ์พื้นเมืองของไทย มีอยู่เกือบ 5,000 สายพันธุ์ ยังไม่รวมพันธุ์ข้าวที่กำลังพัฒนาขึ้นมาใหม่ โดยข้าวแต่ละสายพันธุ์ ก็มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวที่ชัดเจน โดดเด่น และไม่ได้เกิดแค่มาจากสายพันธุ์เพียงอย่างเดียว ยังมาจากดินที่ปลูก น้ำ อากาศ มารวมเป็นองค์ประกอบของข้าว ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะไปตามหาข้าวเหล่านี้ แล้วเริ่มต้นส่งเสริมเกษตรกรเบื้องต้น 200 กลุ่มเกษตรกรให้เป็นต้นแบบในเฟสแรก เพื่อมาทำเป็นข้าวประณีต เพราะหากไทยสามารถสร้างระบบข้อมูล รสชาติ อัตลักษณ์ และเรื่องราวของข้าวแต่ละชนิดได้อย่างชัดเจน ผู้ซื้อทั่วโลกก็จะมีทางเลือกในการซื้อข้าวไทยมากขึ้น


ดันคนพร้อมจ่ายเหมือนซื้อกาแฟ-ไวน์

ที่ผ่านมา ในวงการกาแฟหรือไวน์ จะมีการกำหนดมาตรฐานกาแฟชนิดพิเศษ ที่ถูกควบคุมคุณภาพตั้งแต่การคัดเลือกสายพันธุ์ แหล่งปลูก การเก็บเกี่ยว การแปรรูป การคั่ว และการชงโดยบาริสต้าผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้รสชาติและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ หรือที่เรียกกันว่า Specialty coffee และกาแฟนั้น ต้องการการรับรองคุณภาพจากสมาคมกาแฟพิเศษ (SCA) และได้รับคะแนนประเมินตั้งแต่ 80 คะแนนขึ้นไป

ส่วนมาตรฐานไวน์ระดับโลก ซึ่งยึดไวน์ฝรั่งเศสเป็นต้นแบบของมาตรฐานไวน์โลก มีการกำหนดมาตรฐานที่เข้มงวด ตั้งแต่แหล่งปลูก การผลิต พันธุ์องุ่น เพื่อรับประกันคุณภาพและความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ เช่น Bordeaux และ Burgundy ของฝรั่งเศส Barolo และ Brunello ของอิตาลี เป็นต้น

ในส่วนของข้าวประณีตของไทย ก็จะยึดมาตรฐานคล้าย ๆ กับการเลือกซื้อกาแฟ เลือกซื้อไวน์ ที่จะมีความหลากหลายว่า ข้าวชนิดนี้ เหมาะบริโภคกับอะไร ข้าวชนิดนี้บริโภคแล้วดีต่อสุขภาพอย่างไร ข้าวชนิดนี้ เหมาะเอาไปใช้เป็นวัตถุดิบทำสินค้าเกษตรนวัตกรรมอะไร เมื่อกำหนดมาตรฐานข้าว และคุณลักษณะของข้าวชนิดต่าง ๆ ได้แล้ว การจำแนกชั้น จำแนกระดับราคา ก็ทำได้ไม่ยาก

“เป้าหมายของเรา คือ ต่อไปคนที่จะเลือกซื้อข้าวประณีต ก็จะรู้ว่าข้าวแต่ละชนิดดียังไง คุณภาพเป็นยังไง บริโภคแล้วเป็นยังไง ถึงกล้ายอมจ่ายในราคาที่แพงขึ้น เหมือนคนที่นิยมบริโภคกาแฟ ดื่มไวน์ ที่ยอมจ่ายแพง เพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพที่ดีกว่าปกติ”นางศุภจีกล่าว


เก็บรวบรวมข้าวคุณภาพต่อเนื่อง

จากที่ทราบกัน ประเทศไทยมีพันธุ์ข้าวพื้นเมืองต่าง ๆ มากกว่า 5,000 สายพันธุ์ และที่ผ่านมา Rice Hub ได้มีการเข้าไปสำรวจการเพาะปลูกข้าวร่วมกับสมาคมดิจิทัลเพื่อการศึกษาไทย (TDeD) พบว่า ข้าวพันธุ์พื้นเมืองของไทยมีมาก อย่างกลุ่มข้าวหอมดอกหัง จ.สกลนคร มีการเพาะปลูกข้าวสายพันธุ์พื้นเมืองเป็นจำนวนมาก เป็นหมู่บ้านปลูกรักษาสายพันธุ์ ปลูกเพื่อจำหน่าย ปลูกเพื่อบริโภค แล้วแนวคิด คือ ปลูกข้าวที่เหมาะสมของแต่ละพื้นที่ พื้นที่สูงต่ำ ปลูกข้าวคนละชนิดกัน ทำให้ได้ข้าวชนิดต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก

ปัจจุบัน Rice Hub และ TDeD ได้มีการรวบรวมข้อมูลพันธุ์ข้าวพื้นเมืองต่าง ๆ ได้แล้วประมาณ 300 สายพันธุ์ และได้นำข้อมูลเหล่านี้มาเก็บไว้ในรูปแบบดิจิทัลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เข้าถึงได้ง่าย เข้าไปดูแล้ว จะรู้ได้เลย ข้าวชนิดนี้คุณลักษณะเป็นอย่างไร นุ่ม แข็ง เหมาะกินกับอะไร กลิ่นแบบไหน คุณลักษณะพิเศษคืออะไร คนที่ต้องการซื้อข้าว ก็สามารถเข้ามาดู แล้วเลือกได้ว่าอยากจะซื้อข้าวอะไร เอาข้าวไปใช้ทำอะไร


ต้องเน้นขายความแตกต่าง

นางศุภจีกล่าวว่า จากนี้ในการขายข้าวไทย จะต้องรู้ก่อนว่าประเทศนี้ ต้องการข้าวแบบนี้ ทูตพาณิชย์ของไทยที่ประจำอยู่ในประเทศต่าง ๆ จำนวน 58 แห่ง จะต้องไปหาข้อมูล ต้องรู้ว่าหากต้องการซื้อข้าว อยากได้ข้าวแบบไหน แล้วต้องนำเสนอข้าวประณีตหรือข้าวคุณลักษณะพิเศษของไทยให้เป็นทางเลือก เหมือนกับเดินเข้าห้าง มีสินค้าชนิดเดียวกันให้เลือกมากมาย เวลาจะซื้อ ก็มาดูว่าอยากได้แบบไหน ส่วนใหญ่ดูว่าราคาถูกสุด เอาอันนี้ก่อน แต่ถ้าเราไปบอกว่าข้าวของเรา มันดีแบบนี้ ข้าวลักษณะนี้บริโภคกับอะไรถึงจะเหมาะสมกัน หรือบริโภคแล้วจะได้ประโยชน์อะไร จะเป็นการสร้างทางเลือก สร้างมูลค่าได้

นอกจากนี้ ยังต้องโชว์ในเรื่องคุณค่าทางอาหาร (Nutrition Value) และสุขภาพ ตอนนี้กำลังเป็นเรื่องสำคัญระดับโลก โดยสามารถนำเสนอข้าวบางชนิด มีโปรไบโอติก หรือมีคุณค่าทางอาหารพิเศษอื่น ๆ เช่น เสริมแคลเซียม มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ หรือเป็นข้าวอินทรีย์ ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ระดับโลก สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้


จับมือเกษตร-เอกชนร่วมกันส่งเสริม

สำหรับโครงการข้าวประณีต จะเป็นการทำงานร่วมกันทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พาณิชย์จังหวัด ภาคเอกชน ทั้ง Rice Hub และ TDeD โดยจะเข้าไปส่งเสริมและนำเกษตรกรว่าพื้นที่ของเขา เหมาะสมกับการปลูกข้าวชนิดไหน อยากให้ทดลองทำบางส่วน เช่น ปลูกพันธุ์ใหม่ ดูแลเป็นพิเศษเรื่องน้ำ ปุ๋ย หรือลดใช้สารเคมี เพื่อดูว่าผลผลิตเป็นยังไง เพิ่มขึ้นหรือไม่ คุณภาพเป็นยังไง และตลาดตอบรับอย่างไร

ทั้งนี้ ในส่วนของตลาด กระทรวงพาณิชย์ได้ช่วยหาตลาดรองรับให้ ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศ มีการประสานโรงสี ผู้ซื้อ โมเดิร์นเทรด กลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร เข้ามาช่วยซื้อ เพราะเขารู้ว่า ข้าวประณีตสามารถนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มได้ ส่วนตลาดส่งออก ก็จะให้ทูตพาณิชย์ช่วยขายเข้าสู่ตลาดบน ซึ่งปัจจุบัน ข้าวสี ข้าวคุณลักษณะพิเศษของไทย สามารถส่งออกไปขายต่างประเทศได้แล้วเป็นจำนวนมาก


นำร่อง 200 ชุมชนผลิตข้าวประณีต

นางศุภจีกล่าวว่า ได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะพยายามผลักดันให้เกษตรกรอย่างน้อย 200 ชุมชน หันมาปลูกข้าวประณีต โดยจะเข้าไปดูแลว่าแต่ละชุมชนขาดอะไรบ้าง บางชุมชนอาจจะมีความพร้อมในการผลิตข้าวประณีตอยู่แล้ว แต่ขาดเรื่องการเชื่อมโยงการตลาด บางชุมชนอาจจะขาดเครื่องไม้เครื่องมือสำคัญ เช่น เครื่องสีข้าว เครื่องตรวจความชื้น หรือความช่วยเหลือด้านการทำบรรจุภัณฑ์ กระทรวงพาณิชย์จะเข้าาไปเติมเต็ม ช่วยให้ชุมชนเปลี่ยนการปลูกข้าวเปลือกธรรมดา มาเป็นข้าวคุณภาพดี และผลักดันให้มีโอกาสทางการตลาดเพิ่ม สามารถเปลี่ยนจากการขายข้าวเปลือกมาเป็นข้าวสารได้เอง ซึ่งจะทำให้มีโอกาสทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

เมื่อเข้าไปส่งเสริมการเพาะปลูกแล้ว ก็จะช่วยเพิ่มช่องทางการตลาดอย่างที่เคยบอกไว้ โดยจะคัดกลุ่มที่มีความพร้อมก่อน แล้วนำมาเชื่อมโยงกับตลาดใหญ่ ๆ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และโมเดิร์นเทรด ซึ่งได้ทำแล้วในงาน Thailand Rice Face ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 ธ.ค.2568 ที่ผ่านมา และจากนี้จะทำต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการจับคู่ธุรกิจ โดยตลาดต่างประเทศ ก็จะดำเนินการในลักษณะเดียวกัน

จากนโยบาย New Rice Economy ที่มุ่งส่งเสริมให้เกษตรกรปรับตัวไปสู่การเพาะปลูกข้าวคุณภาพสูง หรือที่เรียกกันว่าข้าวประณีต ไม่เพียงแต่จะพลิกโฉมหน้าการปลูกข้าวของไทยครั้งใหญ่ แต่จะเป็นการพลิกโฉมราคาขายข้าวให้ได้ราคาดียิ่งขึ้น เพราะข้าวไทยนับจากนี้ จะเป็นข้าวที่ขายคุณภาพ ขายเรื่องราว ไม่ใช่ขายข้าวราคาถูก ๆ อีกต่อไป และจะไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดให้กับเกษตรกรไทย




กำลังโหลดความคิดเห็น