xs
xsm
sm
md
lg

เตือนเศรษฐกิจไทยเสี่ยง “อัมพฤกษ์” ติดหล่มกฎระเบียบซ้ำซ้อน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ประธานหอการค้าไทยส่งสัญญาณแรง ชี้เศรษฐกิจไทยกำลังติดหล่มกฎระเบียบซ้ำซ้อน–ระบบราชการที่ยุ่งยาก ทำให้นักลงทุนต่างชาติ “สับสนและลงทุนยาก” แม้ไทยยังเป็นจุดสนใจในอาเซียน แต่หากไม่เร่งรื้อกฎหมายเก่า ปรับขั้นตอนให้ทันโลก ผลักดันซัพพลายเชน “เมดอินไทยแลนด์” หนุนเศรษฐกิจสีเขียว และปราบคอร์รัปชันอย่างจริงจัง ไทยเสี่ยงเสียโอกาสบนเวทีโลกในระยะยาว

เศรษฐกิจไทย “อัมพฤกษ์” ติดหล่มกฎระเบียบ–ราชการซ้ำซ้อน
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยในงานสัมมนา iBusiness Forum : Thailand Future Signal 2026 จับสัญญาณอนาคต ก้าวใหม่เศรษฐกิจไทย ว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญภาวะคล้าย “อัมพฤกษ์” คือร่างกายยังไม่ตาย แต่ขยับตัวลำบาก เพราะเกิดจากการชะงักงันในการทำงาน ไม่มีการขับเคลื่อนจากรัฐบาลและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง แต่ปัจจุบันเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นแล้ว 

ทั้งนี้ เศรษฐกิจโลกกำลังจัดระเบียบใหม่ ทั้งห่วงโซ่อุปทาน การจับคู่ทางการค้า และการเกิดขึ้นของกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ ๆ จำนวนมาก ประเทศต่าง ๆ กำลังหาพันธมิตรและฐานการลงทุนใหม่ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากมาตรการภาษีของสหรัฐ เพื่อตอบโจทย์ปัญหาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
อย่างไรก็ตาม สิ่งดีของอาเซียนต่อ “ประเทศไทย” คือการที่เราถือเป็นจุดที่ต่างชาติให้ความสนใจในเรื่องของการค้าและการลงทุน เพราะไม่มีความขัดแย้งรุนแรงกับฝ่ายใด และมีศักยภาพจะเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคได้ 

ต่างชาติสับสนกติกาไทย
สำคัญคือเรื่อง “การเคลื่อนย้ายทุน” ทุกวันนี้เรามีปัญหามากที่ว่า บางครั้งมีการลงทุนจากต่างประเทศมา แต่ไม่ชัดเจนว่าประเทศไทยได้ประโยชน์อะไรบ้าง มีสินค้าทุ่มตลาด แล้วประเทศไทยได้อะไร ตรงนี้ต้องมีการแก้ไข ซึ่งทางหอการค้าไทยได้เข้าไปร่วมช่วยแก้ปัญหากับทางสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้วในเบื้องต้น 

“เราช่วยกันจัดระเบียบกันมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว จนสุดท้ายได้บริษัทจีนที่ถูกต้องตามเงื่อนไขของบีโอไอ กว่าพันบริษัท และก็เป็นสมาชิกของสมาคมด้วย ในทางกลับกัน เราก็รู้ถึงปัญหาของนักธุรกิจจีนที่มาลงทุนกับเราด้วยว่าเขาติดปัญหาอะไรบ้าง” ดร.พจน์ กล่าว 

ดร.พจน์ กล่าวอีกว่า นักลงทุนต่างชาติที่สนใจประเทศไทยจำนวนมาก “สับสน” กับระบบกฎหมายและขั้นตอนของไทย ทั้งด้านภาษี การนำเข้า–ส่งออก และกฎระเบียบเฉพาะอุตสาหกรรม 

“ปัญหาคือว่าขั้นตอนข้างในมันเยอะเหลือเกิน กฎระเบียบเยอะเหลือเกิน วิธีปฏิบัติให้ถูกต้องก็มาก ต่างชาติหลายครั้งไม่เข้าใจว่าต้องลงทุนกันอย่างไร ตัวอย่างคือสินค้าบางประเภทที่ไทยมีศักยภาพและเป็นฐานการผลิตใหญ่ แต่ขั้นตอนอนุมัติซ้ำซ้อนและยืดเยื้อ ทำให้ต่างชาติรู้สึกว่ากฎระเบียบไทย ‘ยุ่งยากเกินไป’ เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง”
ทั้งนี้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “การมีกฎหมายควบคุม” แต่คือการออกกฎหมายและกฎย่อยจำนวนมาก โดยไม่เคย “รื้อและยกเลิกของเก่า” ให้ทันสมัยและสอดคล้องกัน ทำให้ระบบโดยรวมกลายเป็นภาระต่อการลงทุน


ปั้นซัพพลายเชน “เมดอินไทยแลนด์” ดันไทยเป็นฐานผลิตใหม่ของโลก

ดร.พจน์ ระบุว่า การลงทุนในประเทศไทยต้องมีการพัฒนาและผลักดันให้นักลงทุนต่างชาติมาลงทุน และเกิดวัฏจักรเป็นซัพพลายเชนในประเทศไทย ไม่ใช่แค่ “จะมาประกอบสินค้า” แต่ต้องสร้างจนกลายเป็น “Product of Thailand” ให้ได้

หากไทยสามารถพัฒนาซัพพลายเชนในประเทศให้ครบวงจร ก็จะทำให้เราได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากประเทศคู่ค้าอย่างถูกต้อง และลดปัญหาเรื่องสินค้าส่งออกในลักษณะการ “สวมสิทธิ์”

เศรษฐกิจสีเขียว–คาร์บอนเครดิต : โอกาสใหญ่ที่ SME ไทยยังเอื้อมไม่ถึง

ดร.พจน์ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจสีเขียววันนี้เป็นกระแสโลกอย่างชัดเจน ความยั่งยืนกับพลังงานสะอาด ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างให้ความสำคัญ แต่ยังมีส่วนที่น่ากังวล คือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SME) ยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึง

ทั้งนี้ มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของโลก เช่น คาร์บอนเครดิต มาตรฐานการปล่อยคาร์บอน และเงื่อนไขด้าน ESG เป็นทั้ง “แรงกดดัน” และ “โอกาส” ของธุรกิจไทย

จุดสำคัญคือ ภาครัฐต้องออกแบบมาตรการให้ภาคเอกชน “เข้าถึงได้จริง” ไม่ใช่เพียงออกกฎบังคับ ขณะที่ภาคเอกชนเองก็ต้องยกระดับมาตรฐานการผลิต การจัดการ และระบบรายงานข้อมูล เพื่อใช้ประโยชน์จากตลาดคาร์บอนเครดิต และป้องกันการถูกกีดกันทางการค้าในอนาคต

ในส่วนของหอการค้าและองค์กรเอกชนถือว่ามีบทบาทเป็น “พี่เลี้ยง” ถ่ายทอดความรู้และเครื่องมือ ทั้งด้านการจัดการ การลดคาร์บอน และการเตรียมตัวให้ธุรกิจขนาดกลางและเล็กสามารถปรับตัวทัน

“เราได้ประสานร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ บริษัทขนาดใหญ่ และเครือข่ายพันธมิตรต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้สามารถปรับตัวเป็นซัพพลายเชน โดยการส่งเสริมธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ด้วยการจัดตั้งสถาบันวิทยาการเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อผู้ประกอบการและผู้บริโภคขึ้น” ดร.พจน์ กล่าว

เตือนรัฐออกกฎหมายแรงงานฟังเสียงเอกชน

ดร.พจน์ กล่าวอีกว่า การออกกฎหมายของภาครัฐมีผลกระทบในวงกว้าง จะต้องมีการรับฟังเสียงคนทำธุรกิจจริง ๆ โดยเฉพาะกฎหมายแรงงาน ต้องเป็นกฎหมายที่รับฟังความคิดเห็นอย่างชัดเจนจากผู้ประกอบการหรือนายจ้างจริง ไม่ใช่ออกโดยพรรคการเมืองร่วมกับเอ็นจีโอ แต่ไม่รับฟังความเห็นจากผู้ประกอบการ

แม้เจตนาของกฎหมายอาจดูดีในกระดาษ แต่ในทางปฏิบัติอาจ “ทำไม่ได้จริง” และกระทบทั้งนายจ้างและลูกจ้าง โดยเฉพาะแรงงานรายวัน ภาคเกษตร และเอสเอ็มอี

ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันแรงงานจำนวนมากทำงาน 6 วัน 48 ชั่วโมง รายได้ยังประคองตัวได้ระดับหนึ่ง หากลดชั่วโมงทำงานลง แต่ไม่มีโครงสร้างค่าจ้างและสวัสดิการรองรับที่เหมาะสม รายได้สุทธิของคนงานอาจลดลง ขณะที่ต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้น ทำให้การแข่งขันกับต่างประเทศลำบากกว่าเดิม

ดร.พจน์ ยังมีข้อเสนอถึงภาครัฐในยุคที่ทุนโลกเคลื่อนย้ายเร็ว ว่าภาครัฐควรเร่งผลักดันการลงทุนของต่างประเทศให้ร่วมลงทุนกับภาคเอกชนในไทยมากขึ้น ในโครงการต้นน้ำ–กลางน้ำ–ปลายน้ำ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทักษะดิจิทัล และศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน เพราะตอนนี้โลกเปลี่ยนเร็ว แต่ระบบผลิตบุคลากรของไทยยังตามไม่ทัน

ปัญหาการลงทุนของไทยในช่วง 3–4 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดจากประเทศไม่มีศักยภาพ แต่เพราะ “เตรียมคนไม่ทันเกมโลก”

ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยดึงการลงทุนใหม่ เช่น โลจิสติกส์ และดิจิทัลอินฟราสตรัคเจอร์ รวมถึงการสร้างโปรแกรมสำหรับแรงงานไทย ทั้ง “แรงงานใหม่” และ “แรงงานเดิม” เพื่ออัปสกิลและรีสกิลให้ทันเทคโนโลยีและโมเดลธุรกิจใหม่ โดยใช้ภาคเอกชนเป็นพาร์ตเนอร์หลัก ทั้งในด้านหลักสูตร การฝึกงาน และการประเมินทักษะ

ดร.พจน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้รัฐบาล “ฟังเอกชนให้มากขึ้น” และเดินหน้าปราบคอร์รัปชันอย่างจริงจัง โดยเสนอว่าประเทศไทยไม่มีทรัพยากรธรรมชาติขนาดใหญ่ให้ขายเหมือนบางประเทศ รายได้หลักของประเทศมาจาก “ภาคเอกชน” เป็นสำคัญ

ดังนั้น ทุกครั้งที่ออกนโยบายหรือกฎหมายใหม่ ควรมีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงทำตามขั้นตอนให้ครบ และต้องเร่งทำงานเชิงรุกกับภาคเอกชนเพื่อป้องกันและลดปัญหาคอร์รัปชัน เพราะหากปล่อยไว้จะกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนอย่างรุนแรง และทำให้ไทยเสียโอกาสบนเวทีโลก

สุดท้าย หากประเทศไทยยังไม่สามารถ “ขยับตัว” แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้ได้ เราจะเสียทั้งโอกาสการลงทุนใหม่ และความสามารถในการแข่งขันในอนาคต ซึ่งจะกลายเป็นภาระให้คนไทยรุ่นต่อไปต้องแบกรับแทน




กำลังโหลดความคิดเห็น