MINT รายงานกำไรสุทธิเติบโต 47% ในช่วง 9 เดือนแรก 2568 และเพิ่มขึ้นกว่า 17 เท่าในไตรมาสแรก 2568ส่วนกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 2,553 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 17 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อนโดย ไมเนอร์ โฮเทลส์มีกำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 63% ไมเนอร์ ฟู้ดมีกำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อนหน้า
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“MINT”) ประกาศผลประกอบการสำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว การขยายตัวของผลกำไรอย่างแข็งแกร่ง และการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรจากการบริหารเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพจุดเด่นเชิงกลยุทธ์และผลประกอบการรวมของไมเนอร์ ในไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2568
• กำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 2,553 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 17 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของทุกกลุ่มธุรกิจ และประสิทธิภาพจากตราสารอนุพันธ์ที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับงวด 9 เดือนแรก กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 47 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 6,056 ล้านบาท สะท้อนถึงปัจจัยหลักเดียวกันกับไตรมาส 3 ปี 2568 และรายได้จากการขายสินทรัพย์บางส่วนในพอร์ตการลงทุน
• เมื่อไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว MINT มีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) สำหรับไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 2,768 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงส่งที่แข็งแกร่งของทุกหน่วยธุรกิจ และต้นทุนดอกเบี้ยที่ลดลง แม้อยู่ท่ามกลางสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่ผันผวน สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 กำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) ของ MINT อยู่ที่ 6,229 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเติบโตขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
• ยอดขายโดยรวมทุกสาขา (Total System Sales) สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 193,000 ล้านบาท สูงกว่ารายได้ที่รายงานร้อยละ 57 สะท้อนถึงความสำเร็จของการปรับโครงสร้างสู่โมเดล Asset-Light และความแข็งแกร่งของพันธมิตรทางธุรกิจและเครือข่ายแฟรนไชส์ระดับโลกของ MINT
• ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลงร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับปีก่อน ผลจากการลดระดับหนี้อย่างมีวินัย และต้นทุนทางการเงินที่ลดลงจากการบริหารเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพและอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ดีขึ้น
• หนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย (ตามนิยามของสัญญาหนี้) ลดลงจาก 99,110 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสก่อนหน้า เหลือ 95,458 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 จากการไถ่ถอนหุ้นกู้สกุลยูโรมูลค่า 400 ล้านยูโรล่วงหน้า การชำระคืนเงินกู้ธนาคารก่อนกำหนด และการชำระคืนหุ้นกู้สกุลบาท
• บริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจำนวน 0.30 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายใกล้เคียงร้อยละ 50 ของผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568
• สัดส่วนการถือหุ้นของ MINT ในบริษัท Minor Hotels Europe & Americas (MHEA) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 95.9 เป็นร้อยละ 99.5 ภายหลังการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์เพื่อเพิกถอนหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์สเปน (Delisting Tender Offer) เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งช่วยปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการบริหาร และเพิ่มความยืดหยุ่นเชิงกลยุทธ์และการดำเนินงาน
ไมเนอร์ โฮเทลส์: การเติบโตของกำไรและการขยายตัวทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง
ไมเนอร์ โฮเทลส์มีกำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 63 จากปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากผลการดำเนินงานของโรงแรมที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในยุโรปและมัลดีฟส์ รวมถึงกำไรจากการขายสินทรัพย์บางส่วนในพอร์ตการลงทุน สำหรับไตรมาส 3 ปี 2568 กำไรที่รายงานปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อันเป็นผลมาจากการดำเนินงานพื้นฐานที่ดีขึ้น และประสิทธิภาพจากตราสารอนุพันธ์ที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
• รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ในภูมิภาคยุโรปและอเมริกามีการเติบโต ร้อยละ 4 ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากความแข็งแกร่งของแบรนด์และทำเลโรงแรมที่ยอดเยี่ยมซึ่งช่วยคงอัตราการเข้าพักและการเติบโตของราคาห้องพัก แม้เทียบกับฐานที่สูงจากอีเวนต์กีฬาหลักและคอนเสิร์ตใหญ่ในปีที่ผ่านมา
• รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ของมัลดีฟส์เติบโตโดดเด่น เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากปีก่อนหน้า หนุนโดยความต้องการจากตลาดต้นทางที่หลากหลาย
• รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ประเทศไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 โดยได้รับแรงหนุนจากอัตราราคาห้องพักเฉลี่ย (ADR) ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งช่วยชดเชยผลกระทบชั่วคราวจากการปรับปรุงโรงแรมหลักบางแห่ง
ในไตรมาสที่ผ่านมา ไมเนอร์ โฮเทลส์ได้ขยายพอร์ตการลงทุนด้วยการเปิดโรงแรมแห่งใหม่ในออสเตรเลีย เข้าสู่ตลาดเปรู เปิดตัวโรงแรมในเครือ Colbert Collection แห่งแรกในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประกาศเข้าสู่ตลาดอียิปต์ผ่านความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรท้องถิ่นรายสำคัญ
ไมเนอร์ ฟู้ด: นวัตกรรมสินค้าและประสิทธิภาพในการดำเนินงานเสริมความแข็งแกร่ง
ไมเนอร์ ฟู้ดมีกำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จากปีก่อนหน้า โดยมีแรงหนุนหลักจากการดำเนินงานในประเทศไทย และการปรับโครงสร้างความร่วมมือในบริษัท Art of Baking ซึ่งได้นำ Europastry ผู้ดำเนินธุรกิจเบเกอรี่อันดับต้นของโลกเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นเพิ่มเติม เพื่อเร่งขยายธุรกิจเบเกอรีในระดับภูมิภาค ในขณะที่กำไรสุทธิในงวดไตรมาส 3 ปี 2568 ก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 จากปีก่อนหน้าเช่นกัน
• แบรนด์ Bonchon, GAGA และ Burger King ยังคงทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่ง โดยการเปิดตัวสินค้าใหม่และการบริหารจัดการร้านที่มีประสิทธิภาพ
• ความแข็งแกร่งของแบรนด์ไมเนอร์ ฟู้ดส่งผลให้มีการขยายสัญญาแฟรนไชส์และความร่วมมือใหม่ๆ โดยในช่วงเวลาดังกล่าวได้มีการเปิดร้านแฟรนไชส์ของ Bonchon, GAGA, Dairy Queen และ Swensen’s เพิ่มขึ้นในประเทศไทย รวมถึงการเร่งเปิดร้าน GAGA และ Dairy Queen ในประเทศอินโดนีเซีย
• แนวคิดร้านอาหารรูปแบบใหม่มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดย Sizzler ได้เปิดตัว “Sandwich Society” ร้านแซนด์วิชพรีเมียม พร้อมด้วย “Hey Gusto” ร้านอาหารอิตาเลียนสไตล์โฮมเมด เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคและขยายฐานลูกค้า
นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม MINT ให้ความเห็นว่า “เราภาคภูมิใจที่สามารถสร้างการเติบโตของกำไรสุทธิที่โดดเด่นได้แม้ในสภาวะแวดล้อมที่ผันผวน หากไม่รวมรายการพิเศษ เราสามารถบันทึกกำไรจากการดำเนินงานหลักที่เติบโตในอัตราสองหลักในงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากปีก่อน ผลประกอบการที่แข็งแกร่งนี้ช่วยให้เราสามารถมอบผลตอบแทนที่มั่นคงแก่ผู้ถือหุ้นผ่านการจ่ายเงินปันผล พร้อมเสริมความพร้อมของบริษัทในการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อเนื่องในอนาคต เราจะยังคงมุ่งเน้นการขับเคลื่อนความสามารถในการทำกำไร เสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน และเร่งนวัตกรรมในพอร์ตการลงทุนทั่วโลก โดยมั่นใจในศักยภาพของเราที่จะบรรลุเป้าหมายการเติบโตระยะยาว”
อีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญคือการสร้างมูลค่าเชิงกลยุทธ์ เพื่อเปิดโอกาสในการปลดล็อกศักยภาพของบริษัทให้เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ ผ่านการเสนอขายหน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT IPO) ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงกลางปีหน้า ควบคู่กับแผนงานที่กำลังดำเนินการอยู่เพื่อปรับพอร์ตธุรกิจให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ โครงการเหล่านี้จะช่วยผลักดันการเปลี่ยนผ่านของ MINT สู่โมเดล Asset-Light เพิ่มผลตอบแทนจากเงินลงทุน และสะท้อนศักยภาพการดำเนินงานของแต่ละกลุ่มธุรกิจได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) เป็นบริษัทระดับโลกที่มุ่งเน้นในสองธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร MINT เป็นเจ้าของ ผู้บริหาร และนักลงทุนในโรงแรม โดยมีพอร์ตโฟลิโอจำนวน 641 แห่ง ภายใต้แบรนด์ Anantara, Avani, Oaks, Tivoli, NH Collection, NH, nhow, Elewana, Wolseley, Colbert Collection, Four Seasons, St. Regis, JW Marriott และ Radisson Blu ใน 66 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา คาบสมุทรอินเดีย ยุโรป และอเมริกา (รวมโรงแรมที่บริษัทลงทุนเองที่จะเปิดตัวในอนาคตและกิจการร่วมค้าที่ได้มีข้อผูกพันแล้ว ตลอดจนโรงแรมภายใต้การเช่าบริหารและสัญญารับจ้างบริหารที่เซ็นสัญญาแล้ว) นอกจากนี้ MINT ยังเป็นหนึ่งในบริษัทร้านอาหารรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยมีร้านอาหารมากกว่า 2,714 สาขา(รวมสัญญาแฟรนไชส์ที่ได้ลงนามแล้ว) ใน 25 ประเทศ ภายใต้แบรนด์ The Pizza Company, The Coffee Club, Riverside Grilled Fish, Sanook Kitchen, Benihana, Bonchon, Swensen’s, Sizzler, Dairy Queen, Burger King และ GAGA รวมถึงร้านอาหารอีกกว่า 1,000 สาขาที่ดำเนินการผ่านพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของ MINT (เช่น S&P และ BreadTalk)


