SCGP ซื้อหุ้นแบบมีเงื่อนไข 100% ใน PT Prokemas Adhikari Kreasi (MYPAK) ซึ่งเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษในอินโดนีเซีย มีมูลค่า 956 ล้านบาท คาดปิดดีลในไตรมาส 4/68 หนุนรายได้ SCGP ปีหน้าเพิ่มราว 2,000 ล้านบาท ยอมรับ EBITDA ปีนี้พลาดเป้า 18,000 ล้านบาท แต่มั่นใจดีกว่าปี 2567 เหตุไตรมาส 4 ได้รับผลบวกจากการเติมสต๊อกสินค้าช่วงปลายปี การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของไทย
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า SCGP ได้ลงนามในสัญญาซื้อหุ้นแบบมีเงื่อนไขเพื่อเข้าถือหุ้นสามัญในสัดส่วน 100% ใน PT Prokemas Adhikari Kreasi (MYPAK) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษคุณภาพชั้นนำในอินโดนีเซีย มีมูลค่ากิจการรวมไม่เกิน 455 พันล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 956 ล้านบาท ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการเข้าซื้อกิจการ คาดปิดดีลภายในไตรมาสที่ 4/2568 ทำให้ SCGP รับรู้รายได้เพิ่มขึ้นปีหน้าราว 1,800-2,000 ล้านบาท
MYPAK เป็นหนึ่งในบริษัทผลิตกล่องกระดาษลูกฟูกชั้นนำในอินโดนีเซีย มีกำลังผลิต 144,000 ตันต่อปี โดยมีฐานการผลิตตั้งอยู่ที่เมือง Bekasi ทางตะวันตกของเกาะชวา ที่ใกล้กับฐานการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ของ PT Fajar Surya Wisesa Tbk. และมีฐานลูกค้าเป็นบริษัทข้ามชาติและแบรนด์สินค้าชั้นนำในตลาดอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศ
การเข้าซื้อกิจการ MYPAK ครั้งนี้เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาส Cross-selling จากฐานลูกค้ากลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งในและต่างประเทศ สามารถนำเทคโนโลยีของ MYPAK มาช่วยผลักดันการผลิตและการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงที่ตั้งเชิงกลยุทธ์จะช่วยสร้างประสานประโยชน์ (Synergy) กับเครือข่ายธุรกิจ และเสริมศักยภาพการบูรณาการห่วงโซ่อุปทานกับธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ (Value Chain Integration) ของ SCGP ในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถการแข่งขัน และรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจและความต้องการบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซีย
อีกทั้งยังขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนตามเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 25% ภายในปี 2573 และมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2593 ด้วยการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิล
ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยลงทุนในการทำ M&P ราว 6,000 ล้านบาท และที่เหลือใช้ในการซ่อมบำรุงรักษาเครื่องจักร ฯลฯ
นายวิชาญกล่าวถึงผลการดำเนินงานในปี 2568 ว่า บริษัทคาดว่าจะมีปริมาณการขายโตขึ้น 3% ขณะที่การส่งออกไปจีนลดลงแต่หันทำตลาดที่อินเดียเพิ่มขึ้น ส่วน EBITDA ปีนี้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 18,000 ล้านบาท แต่สูงกว่าปีก่อนที่มี EBITDA อยู่ที่ 16,127 ล้านบาท เพราะงวด 9 เดือนปี 2568 บริษัทมี EBITDA 12,643 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 30,438 ล้านบาท ลดลง 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน และลดลง 4% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากราคายังคงมีความผันผวน โดยราคาขายเฉลี่ยของกระดาษบรรจุภัณฑ์และเยื่อกระดาษปรับลดลงตามแนวโน้มตลาดภูมิภาค ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 4,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับปีก่อน ลดลง 2% จากไตรมาสก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวดอยู่ที่ 953 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65% เมื่อเทียบกับปีก่อน มาจากผลการดำเนินงานของธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในอินโดนีเซียที่ดีขึ้น และ EBITDA margin ปรับตัวดีขึ้นจากการบริหารจัดการต้นทุนพลังงานและสาธารณูปโภคในกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ
ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในอาเซียนและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในไตรมาสที่ 4 ปี 2568 คาดเติบโตจากการเตรียมเพิ่มสต๊อกสินค้าช่วงปลายปี โดยเฉพาะอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อเตรียมรับการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่และเทศกาลเฉลิมฉลอง และปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น มาตรการคนละครึ่ง มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว ฯลฯ จะส่งผลดีต่อความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาขายบรรจุภัณฑ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์คาดว่าจะทรงตัว ส่วนราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์และเยื่อเคมีละลายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากความต้องการที่มีแนวโน้มฟื้นตัว


