ครบรอบ 10 ปี CAAT“ทศวรรษแห่งความภาคภูมิใจ” ฝ่าวิกฤติ”ธงแดง” ICAO - FAA ตรวจผ่านมาตรฐานความปลอดภัย พร้อมรับตรวจประเมินการรักษาความปลอดภัย พ.ย.นี้ มั่นใจยกระดับมาตรฐานอุตฯการบินไทย ปลอดภัย ยั่งยืน สู่ศูนย์กลางการบิน
วันที่ 10 ตุลาคม 2568 สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) หรือ กพท. จัดงานครบรอบ 10 ปีการก่อตั้ง ภายใต้แนวคิด “A Decade of Pride in Elevating Thai Aviation Towards a Sustainable Future – ทศวรรษแห่งความภาคภูมิใจ ยกระดับการบินของไทย สู่อนาคตอย่างมั่นคง” โดยพลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการ CAAT ปาฐกถาพิเศษ สะท้อนเส้นทางแห่งความท้าทายและความสำเร็จขององค์กรในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา พร้อมกำหนดทิศทางใหม่เพื่อยกระดับมาตรฐานการบินไทยในอนาคต นอกจากนี้ภายในงานยังมีเวทีเสวนา “Proud Partners in Flight: 10 Years with CAAT and Beyond” ที่เป็นเวทีให้หน่วยงานด้านการบินทั้งสนามบิน สายการบิน ผู้ให้บริการการเดินอากาศ และสถาบันฝึกอบรม ได้มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานร่วมกับ CAAT ในการขับเคลื่อนยกระดับการบินของไทยตลอดทศวรรษที่ผ่านมา
พลอากาศเอก มนัท กล่าวถึงจุดเริ่มต้นว่า CAAT ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2558 จากเจตนารมณ์ของประเทศในการยกระดับระบบกำกับดูแลความปลอดภัยการบินให้เทียบเคียงมาตรฐานสากล ภายใต้กฎหมายจัดตั้งเฉพาะและอำนาจหน้าที่ที่ชัดเจน นับแต่นั้น CAAT ได้ทำหน้าที่ Regulator ดูแลท้องฟ้าไทยให้ปลอดภัย และสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้โดยสารและผู้ประกอบการการบินอย่างต่อเนื่อง
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ผ่านหมุดหมายสำคัญหลายครั้ง โดยเฉพาะการ “ปลดธงแดง ICAO” ในเดือนตุลาคม 2560 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการแก้ไขข้อบกพร่องเชิงระบบ และการกลับมาของ ความเชื่อมั่นต่อการบินไทยอย่างแท้จริง และในปี 2568 ประเทศไทยก้าวสู่ความสำเร็จอีกครั้ง เมื่อองค์การบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ FAA ประกาศให้ไทยกลับสู่สถานะ IASA Category 1 เมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา สะท้อนถึงระบบกำกับดูแลความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานสากล และเปิดทางสู่การฟื้นเส้นทางบินตรงไทย–สหรัฐฯ รวมถึงการเชื่อมต่อเครือข่ายการบินระหว่างทวีปที่กว้างขวางยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม – 8 กันยายน 2568 ประเทศไทยยังผ่านการตรวจสอบระบบ การกำกับดูแลด้านความปลอดภัยภายใต้โครงการ ICAO USOAP CMA และได้รับคะแนนเบื้องต้น (Preliminary Score) 87.71 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกอย่างมีนัยสำคัญ ตัวเลขนี้สะท้อนถึงความแข็งแรงของกฎหมาย โครงสร้างองค์กร บุคลากร กระบวนการกำกับ และวัฒนธรรมความปลอดภัยของไทยที่เข้มแข็ง
พลอากาศเอกมนัท กล่าวว่า CAAT เตรียมความพร้อมรับการตรวจประเมินการรักษาความปลอดภัย จากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ภายใต้โครงการ Universal Security Audit Programme – Continuous Monitoring Approach (USAP-CMA) ระหว่างวันที่ 12–15 พฤศจิกายน 2568 ซึ่ง ICAO กำหนดตรวจประเมินท่าอากาศยานเชียงใหม่และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่ง CAAT ได้มีการลงพื้นที่ตั้งแต่เดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา หลายครั้งเพื่อประเมินการให้บริการของท่าอากาศยานในทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ อุปกรณ์เครื่องมือ ผู้ให้บริการ ผู้ปฎิบัติการทุกจุดที่ส่งผลต่อการให้บริการผู้โดยสาร ซึ่งรวมถึงสายการบินด้วย
ส่วนท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จะมีการเพิ่มเติมในเรื่องครัวการบิน และคลังสินค้า(คาร์โก้) ด้วย เพราะเป็นส่วนหนึ่งของบริการที่ต้องมีระบบรักษาปลอดภัยของท่าอากาศยาน
“CAAT ในฐานะผู้กำกับดูแลมาตรฐานการให้บริการและความปลอดภัย จะตรวจสอบประเมินทั้งกายภาพสนามบิน สิ่งอำนวยความสะดวก และมาตรการรักษาความปลอดภัย ในทุกส่วน ร่วมกับทางสนามบินหากมีจุดใดที่ยังเป็นข้อกังวลก็จะเร่งปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้มีความพร้อมรองรับการตรวจประเมินของ ICAO มากที่สุด และจะเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำคัญที่สะท้อนประสิทธิภาพของระบบการกำกับดูแลการบินของไทย”
นอกจากนี้CAAT ยังให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติ โดยร่วมงานกับพันธมิตรสำคัญอย่าง EASA และ DGAC France ในการพัฒนากฎ มาตรฐาน และบุคลากร รวมถึงการทำงานกับ Airbus และ Boeing เพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ “Aviation Hub” ของประเทศให้เป็นจริง ทำให้ไทยมีศักยภาพเป็นศูนย์กลางการบินและการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินในภูมิภาค
โดย CAAT ได้วางกรอบการดำเนินงานที่สำคัญ ซึ่งตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายสำคัญของรัฐสำหรับทศวรรษใหม่ 4 เสาหลัก ได้แก่
• ความปลอดภัย (Safety): ยกระดับการกำกับดูแลแบบการบริหารความเสี่ยง risk-based oversight โดยใช้ดิจิทัลและข้อมูลเป็นเครื่องมือหลัก
• ความยั่งยืน (Sustainability): ร่วมสร้างเศรษฐกิจที่ลดการปล่อยคาร์บอน ด้วยการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงการบิน SAF พร้อมสนับสนุนการลงทุนในห่วงโซ่อุปทาน SAF ที่เชื่อมโยงเกษตร อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ ไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศตามมาตรการ CORSIA (Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation) ของ ICAO
• ความทันสมัยและนวัตกรรม (Innovation): นำปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาใช้ในการตรวจสอบเอกสารเบื้องต้นเพื่อลดเวลาการขออนุญาตต่าง ๆ โดยให้มีการติดตามสถานะแบบ real time พร้อมเตรียมใช้ระบบ Fast Track ในการออกใบอนุญาต การกำหนดหลักเกณฑ์และระบบขออนุญาตต่าง ๆ ให้มี
ความทันสมัย กระชับ ชัดเจน เช่น การขอขึ้นทะเบียน การขอขึ้นบิน การกำหนดเขตพื้นที่บิน มาตรการคุ้มครองความปลอดภัย ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองโลกอนาคตที่จะเข้าสู่ยุคอากาศยานไร้คนขับ (UAS) และอากาศยานขั้นสูง (AAM)
• ศูนย์กลางการบินและระบบนิเวศอุตสาหกรรม (Aviation Hub & MRO): บูรณาการการทำงาน
เพื่อผลักดันยุทธศาสตร์ “Aviation Hub” ร่วมกับหน่วยงานรัฐและเอกชน โดยเน้นหลัก 4 แกน ได้แก่
1.ความจุสนามบิน และโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อ 2. ระบบอำนวยความสะดวกและมาตรฐานบริการผู้โดยสาร (service quality) ที่สอดคล้องกติกาสากล 3.การพัฒนาอุตสาหกรรมซ่อมบำรุงอากาศยานครบวงจร (MRO) และระบบนิเวศเพื่อการบิน ทั้งฮับซัพพลายเชน ช่างอากาศยาน และมาตรฐานชิ้นส่วนและเอกสาร 4.การสนับสนุนการจัดตั้ง Training Center หรือศูนย์พัฒนาบุคลากรการบิน โดยแผนดังกล่าวได้รับการขับเคลื่อนคู่ขนานกับการพัฒนาสนามบินหลักโดย AOT และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
“ความสำเร็จตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเป็นผลจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานกำกับดูแล สนามบิน สายการบิน ผู้ให้บริการภาคพื้นดิน อุตสาหกรรมการผลิตและซ่อมบำรุง ตลอดจนประชาชนผู้ใช้บริการการบิน พร้อมขอบคุณทีมงาน CAAT ทุกคนที่ทุ่มเทอย่างต่อเนื่องใน