xs
xsm
sm
md
lg

ส่งออกอัญมณี ส.ค.เพิ่ม 21.03% ทองคำพุ่งต่อ 144.03% จากแรงแห่ซื้อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ ส.ค.68 มูลค่า 816.39 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 21.03% บวกต่อเนื่อง 10 เดือนติด หากรวมทองคำ เพิ่ม 70.60% ยอด 8 เดือน ไม่รวมทองคำ เพิ่ม 55.89% รวมทองคำ เพิ่ม 70.07% เผยเฉพาะทองกลับมาพุ่งต่อ 144.03% เหตุราคาตลาดโลกพุ่ง คนแห่ซื้อทองเก็บ ส่วนตลาดสหรัฐฯ ยังโต แต่เริ่มชะลอตัวหลังภาษีบังคับใช้ จับตาส่งออก ก.ย.68 จะเริ่มเห็นชัด ห่วงบาทแข็งฉุด แนะผลิตสินค้าตรงตามเทรนด์ตลาดต้องการ ถึงจะอยู่รอด

นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT เปิดเผยว่า การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ ไม่รวมทองคำ เดือน ส.ค.2568 มีมูลค่า 816.39 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 21.03% ขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่อง 10 เดือนติดต่อกัน หากรวมทองคำ มูลค่า 1,927.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 70.60% และการส่งออกรวม 8 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-ส.ค.) ไม่รวมทองคำ มูลค่า 9,002.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 55.89% รวมทองคำ มูลค่า 17,736.07 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 70.07%

ทั้งนี้ การส่งออกเฉพาะทองคำในเดือน เดือน ส.ค.2568 มีมูลค่า 1,111 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 144.03% จากราคาตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังปรับตัวลดลงเมื่อเดือน ก.ค.2568 เพราะสหรัฐฯ จำกัดการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงและเซมิคอนดักเตอร์ไปสหภาพยุโรป และการสนับสนุนทางทหารต่อยูเครนรอบใหม่ ทำให้ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 3,363 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนยอดรวมส่งออกทองคำ 8 เดือน มีมูลค่า 8,733.39 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 87.67% และแยกเป็นรายเดือน ม.ค.2568 มูลค่า 1,167.87 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 148.95% ก.พ.2568 มูลค่า 933.63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 26.395% มี.ค.2568 มูลค่า 1,447.95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 269.55% เม.ย.2568 มูลค่า 1,011.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 250.52% พ.ค.2568 มูลค่า 907.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 55.87% มิ.ย.2568 มูลค่า 1,145.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 26.18% ก.ค.2568 มูลค่า 1,008 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 14.65%

ทางด้านตลาดส่งออกสำคัญ สหรัฐฯ ยังคงส่งออกได้เพิ่มขึ้น 7.91% แต่เริ่มชะลอตัวลง จากที่เร่งนำเข้าก่อนหน้านี้ เพื่อลดความเสี่ยงจากมาตรการภาษี ฮ่องกง เพิ่ม 2.52% เยอรมนี เพิ่ม 10.40% สหราชอาณาจักร เพิ่ม 39.11% สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพิ่ม 33.26% ญี่ปุ่น เพิ่ม 26.60% ส่วนอิตาลี ลด 0.45% สวิตเซอร์แลนด์ ลด 5.70% เบลเยี่ยม ลด 21.65%


ส่วนการส่งออกสินค้า แพลทินัม เพิ่ม 53,932.81% จากการส่งออกไปอินเดียเกือบทั้งหมด เมื่อช่วง 3 เดือนแรกปี 2568 แต่หลังจากนั้นไม่มีการส่งออก เนื่องจากอินเดียควบคุมโลหะแพลทินัม เครื่องประดับเงิน เพิ่ม 46.14% เครื่องประดับทอง เพิ่ม 11.54% เครื่องประดับแพลทินัม เพิ่ม 59.61% พลอยเนื้อแข็งเจียระไน เพิ่ม 7.13% ส่วนเพชรเจียระไน ลด 27.85% พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ลด 12.18%

นายสุเมธกล่าวว่า การส่งออกในช่วง 8 เดือนของปี 2568 ที่ผ่านมา พบว่า สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับยังเติบโตได้จากการเพิ่มขึ้นคำสั่งซื้อของประเทศคู่ค้าในช่วงก่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ และเมื่อเริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 7 ส.ค.2568 ทำให้การส่งออกเริ่มชะลอตัวลง แต่ด้วยความที่อัตราภาษีของไทยกับคู่แข่งในอาเซียนใกล้เคียงกัน ทำให้ไม่เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ สินค้าของไทยยังคงแข่งขันได้ แต่พอเจอเรื่องค่าเงินบาทแข็งค่า ก็ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง ซึ่งต้องจับตาดูตัวเลขในเดือนต่อ ๆ ไปว่าจะได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน

อย่างไรก็ตาม การผลักดันการส่งออก ไม่ได้อยู่ที่ภาษีอย่างเดียว แต่ผู้ประกอบการไทย ต้องยกระดับสู่มิติใหม่ของการพัฒนาสินค้า โดยผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับเทรนด์ความต้องการ อาทิ การพัฒนาคอลเลกชันที่ผสมผสานพลอยสีหลากหลายเฉดสีกับดีไซน์ร่วมสมัยที่สะท้อนเอกลักษณ์ไทย มีการสร้างความโปร่งใสด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนและการใช้นวัตกรรมดิจิทัลเพื่อตอบสนองผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อเปลี่ยนผ่านจากผู้ผลิตสู่ผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่มีชีวิตที่แต่ละชิ้นงานบ่งบอกเรื่องราวของมรดกทางวัฒนธรรมและความหมายเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งจะทำให้แบรนด์ไทยสามารถแข่งขันในระดับพรีเมียมและสร้างฐานลูกค้าทั่วโลกได้อย่างยั่งยืน นำพาอุตสาหกรรมไทยให้ก้าวข้ามอุปสรรคและเติบโตในยุคที่ผู้บริโภคแสวงหาความเชื่อมโยงทางอารมณ์และคุณค่าที่แท้จริงมากกว่าสินค้าธรรมดา


กำลังโหลดความคิดเห็น