สนค.เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าไทย พบว่า คนไทยยังนิยมซื้อสินค้าไทย เผยอาหารและเครื่องดื่มมาเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยสินค้าแฟชันและเครื่องประดับ ของใช้ในบ้านและของตกแต่งบ้าน สินค้าสุขภาพ ความงาม ของใช้ส่วนบุคคล เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เหตุมีคุณภาพ ราคาถูก และสะดวก นิยมซื่อผ่านค้าค้าปลีก ห้าง และออนไลน์ คาดแนวโน้มที่เหลือของปี ยังซื้อสินค้าไทยต่อ แต่อาจลดลงจากเศรษฐกิจชะลอตัว
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เดือน ส.ค.2568 จำนวน 5,467 ราย ครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศ เกี่ยวกับพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าไทยของประชาชน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความนิยมในการเลือกซื้อสินค้าไทย โดยสินค้าที่ได้รับความนิยม ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ 42.99 รองลงมา คือ สินค้าแฟชันและเครื่องประดับ ร้อยละ 15.85 ของใช้ในบ้านและของตกแต่งบ้าน ร้อยละ 14.64 สินค้าสุขภาพ ร้อยละ 10.68 สินค้าความงามและของใช้ส่วนบุคคล ร้อยละ 9.90 และเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ร้อยละ 7.25
สำหรับสาเหตุที่ประชาชนยังเลือกซื้อสินค้าไทย เพราะคุณภาพของสินค้า ร้อยละ 24.55 ราคาถูก ร้อยละ 24.12 และความสะดวก ร้อยละ 22.06 โดยเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ให้ความสำคัญกับคุณภาพมากที่สุด ของใช้ในบ้านและเครื่องประดับ นอกจากคุณภาพแล้ว ยังให้ความสำคัญกับความสะดวกในการเลือกซื้อ สินค้าความงามและของใช้ส่วนบุคคล มีการเลือกซื้อสินค้าจากการเข้าถึงได้ง่าย และเมื่อพิจารณาตามกลุ่มรายได้ กลุ่มรายได้สูงเลือกซื้อสินค้าโดยให้ความสำคัญกับคุณภาพและความน่าเชื่อถือเป็นหลัก กลุ่มรายได้ปานกลางให้ความสำคัญกับคุณภาพควบคู่กับความสวยงามของสินค้าในสัดส่วนสูงกว่ากลุ่มอื่น ขณะที่กลุ่มรายได้น้อยมักเน้นปัจจัยด้านราคาและความสะดวกเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ หากพิจารณาตามกลุ่มอายุ ประชาชนที่มีอายุต่ำกว่า 29 ปี นิยมเลือกซื้อสินค้าความงามและของใช้ส่วนบุคคลสูงกว่ากลุ่มอื่น กลุ่มอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป เลือกซื้อสินค้าแฟชันและเครื่องประดับและสินค้าสุขภาพมากกว่า เมื่อพิจารณาตามกลุ่มรายได้ มีรายได้มากกว่า 50,001 บาทขึ้นไป นิยมซื้อของใช้ในบ้านและของตกแต่งบ้านในสัดส่วนที่สูงกว่ากลุ่มอื่น และเมื่อพิจารณาตามกลุ่มภูมิภาค ภาคเหนือนิยมในการเลือกซื้อเครื่องไฟฟ้าและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงสินค้าสุขภาพมากกว่าภูมิภาคอื่น กรุงเทพมหานครและปริมณฑลนิยมซื้อสินค้าเครื่องประดับ ของใช้ในบ้านและของตกแต่งบ้านมากกว่าภูมิภาคอื่น ชี้ให้เห็นถึงรสนิยมและรูปแบบการบริโภคที่แตกต่างกันไปตามบริบททางภูมิภาค
ส่วนสถานที่ซื้อ ร้านค้าปลีกทั่วไปมากที่สุด ร้อยละ 31.06 ตามด้วยห้างสรรพสินค้า อาทิ ร้านค้าปลีกในห้างสรรพสินค้า ร้านค้าชั่วคราว และงานกิจกรรมในห้าง ร้อยละ 23.69 และช่องทางออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์ม อาทิ Shopee Lazada และ Tiktok Shop ร้อยละ 17.29 โดยประชาชนอายต่ำกว่า 20 ปี และนักศึกษา นิยมซื้อทางออนไลน์มากสุด เกษตรกรและผู้สูงอายุ ซื้อร้านค้าปลีกทั่วไปและร้านค้าชุมชน แต่กลุ่มรายได้สูงซื้อผ่านห้างสรรพสินค้าและแพลตฟอร์มออนไลน์
นายพูนพงษ์กล่าวว่า แนวโน้มการซื้อสินค้าของประชาชนในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังคงมีแนวโน้มเลือกซื้อสินค้าไทยเท่าเดิม ร้อยละ 61.03 แต่ประชาชน ร้อยละ 26.45 มีแนวโน้มซื้อสินค้าไทยลดลง ซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้น ร้อยละ 11.06 และอื่น ๆ ร้อยละ 1.46 โดยสินค้าที่มีแนวโน้มซื้อลดลง ได้แก่ สินค้าสุขภาพ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และของใช้ในบ้านและของตกแต่งบ้าน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ส่วนสินค้าที่มีแนวโน้มซื้อเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าความงามและของใช้ส่วนบุคคล รวมถึงสินค้าแฟชันและเครื่องประดับ โดยกลุ่มอายุน้อยมีแนวโน้มซื้อเพิ่มขึ้น แต่กลุ่มอายุมาก มีแนวโน้มซื้อลดลง
ทางด้านการปรับปรุงสินค้าไทยที่ประชาชนต้องการ อยากให้ราคาเหมาะสมมากที่สุด ร้อยละ 26.88 การพัฒนาคุณภาพสินค้า ร้อยละ 26.34 และความน่าเชื่อถือของสินค้า ร้อยละ 17.65 และยังต้องการสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สะท้อนถึงความสำคัญต่อการพัฒนาสินค้าไทยในอนาคต
“ผลการสำรวจครั้งนี้ ประชาชนยังคงนิยมเลือกซื้อสินค้าไทย โดยสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ยังคงได้รับความนิยมและเป็นสินค้าที่ประชาชนเลือกซื้อสูงสุด และยังสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของสินค้าไทยในสินค้าหมวดใหม่ ๆ โดยเฉพาะสินค้าความงามและแฟชันที่เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ ซึ่งให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และการดูแลตนเอง จนอาจพัฒนาเป็นกระแสหลักและขยายตัวเป็นตลาดสำคัญในอนาคต แต่ก็มีความท้าทายจากแนวโน้มการเลือกซื้อสินค้าไทยที่ลดลง ที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก อาทิ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การแข่งขันทางการค้าที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น และปัจจัยภายใน อาทิ ข้อจำกัดด้านคุณภาพ ราคา และความหลากหลาย ซึ่งเป็นประเด็นที่จำเป็นต้องติดตามและศึกษาอย่างใกล้ชิดต่อไป”นายพูนพงษ์กล่าว