กลุ่มอุตฯ ปิโตรเคมี ส.อ.ท.ร่วมประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อนปฏิบัติการพัฒนาระบบส่งคืนขยะพลาสติกสู่การรีไซเคิลที่ได้มาตรฐานและครบวงจร มุ่งสู่การเป็นวัตถุดิบยุคใหม่ สนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve ด้วยกลไกเศรษฐกิจหมุนเวียน ตามโรดแมปการจัดการขยะพลาสติกประเทศไทย ปี 2561-2573 โดยดึงทุกภาคส่วนร่วมพัฒนาวงจรใช้พลาสติกอย่างเข้าใจ ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการเก็บกลับวัสดุใช้แล้ว แก้ปัญหามลพิษพลาสติก
นายอภิชัย เจริญสุข ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า กลุ่มอุตฯ ปิโตรเคมี ซึ่งมีสมาชิกสามัญรวม 28 บริษัท ร่วมประกาศเจตนารมณ์กับสมาคมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม เพื่อจัดการพลาสติกและขยะอย่างยั่งยืนตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (PPP Plastics) โดยมุ่งมั่นขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนพลาสติกตามโรดแมปของประเทศว่าด้วยการจัดการขยะพลาสติก เพื่อลดปริมาณขยะพลาสติกและเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในการสร้างอุตสาหกรรมต้นน้ำให้กับอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (S-curve) ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศแบบคาร์บอนต่ำ ลดภาวะโลกร้อนนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบเศรษฐกิจไทยและการแข่งขันในเวทีการค้าโลก
การพัฒนาวงจรเศรษฐกิจหมุนเวียนยังสอดรับกับทิศทางกติกาการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ในการมุ่งสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมรีไซเคิลพลาสติกที่ทันสมัยและครอบคลุมทุกลำดับขั้นการจัดการขยะ (Waste Hierarchy) เพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุดิบต้นทางคุณภาพสูงเหมาะในการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ การพัฒนาวัตถุดิบดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ด้วยการมีระบบดึงขยะพลาสติกเข้าสู่ระบบการจัดการที่ถูกต้อง แต่ไม่อาจสำเร็จได้ด้วยองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ต้องใช้ความร่วมมือของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการผลิตและใช้พลาสติกอย่างเข้าใจทั้งระบบ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งในมิติเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
“กลุ่มอุตฯ ปิโตรเคมีนับเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ประเทศมาอย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมนี้สร้างมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบธรรมชาติได้มากถึง 10-25 เท่า มูลค่าของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทยตลอดทั้งห่วงโซ่ (Value Chain) จนถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์พลาสติก สร้างมูลค่ารวมกว่า 2.4 ล้านล้านบาท คิดเป็นประมาณ 13% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทย (ข้อมูลปี 2566) สร้างมูลค่าการส่งออกเกือบ 5 แสนล้านบาท หรือประมาณ 5% ของการส่งออกทั้งหมด ตลอดจนสร้างงานกว่า 4 แสนตำแหน่ง และสนับสนุน SME มากกว่า 3,000 ราย ปัจจุบันมีความพร้อมในการยกระดับการผลิตด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมหมุนเวียนพลาสติก นำขยะพลาสติกเข้าสู่ระบบการรีไซเคิล เพื่อพัฒนาเป็นวัตถุดิบตั้งต้นให้กับการผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่มีคุณภาพ และปลอดภัยสูง เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด”
การพัฒนาระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนพลาสติกอย่างเป็นรูปธรรมจำเป็นต้องเร่งให้เกิดการส่งเสริมและสร้างความเข้าใจให้ภาคประชาชน ในฐานะผู้บริโภค ในการใช้พลาสติกอย่างรู้คุณค่า เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีส่วนร่วมในกระบวนการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง และส่งคืนกลับสู่ระบบการผลิตใหม่อีกครั้ง ซึ่งภาคเอกชนได้เดินหน้าในการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่สามารถผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงเทียบเท่าเม็ดพลาสติกใหม่ที่ผลิตจากปิโตรเลียม (Virgin Plastic) อีกทั้งเพื่อเตรียมรับกับข้อกำหนดต่างๆ ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนที่คาดว่าจะมีการประกาศใช้ในอนาคตอันใกล้นี้
กลุ่มอุตฯ ปิโตรเคมีได้เดินหน้าเป็นภาคีความร่วมมือที่เข้มแข็งในเครือข่าย PPP Plastics มาตั้งแต่ปี 2561 โดย PPP Plastics เป็นองค์กรความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่มีความมุ่งมั่นร่วมกันในการจัดการขยะพลาสติกด้วยหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ PPP Plastics ได้จัดงานสัมมนาติดตามความคืบหน้าของโรดแมป ภายในงานดังกล่าวมีการเปิดเผยโดยสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยว่าประเทศไทยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในการจัดการขยะพลาสติกตามลำดับนับตั้งแต่มีโรดแมป โดยไทยถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีปัญหาขยะพลาสติกในทะเลลดลงในเชิงปริมาณเปรียบเทียบ จากอันดับที่ 6 เมื่อปี 2553 เป็นอันดับที่ 10 ของโลกในปี 2564 และกำลังดีขึ้นเป็นลำดับ
นอกจากนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมียังได้มีส่วนร่วมในการผลักดันนโยบายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น วาระแห่งชาติ BCG Model ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน และร่างพระราชบัญญัติการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน รวมทั้งสนับสนุนโครงการนำร่อง การตั้งศูนย์คัดแยกวัสดุใช้แล้ว (Material Recovery Facility หรือ MRF) ในพื้นที่จังหวัดระยอง เพื่อทำให้เกิดการแยกวัสดุใช้แล้วอย่างมีประสิทธิภาพและทดสอบกลไกการหมุนเวียนวัสดุใช้แล้วอย่างครบวงจรเพื่อเป็นต้นแบบการเรียนรู้ ที่จะสามารถนำไปใช้กับพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศได้ต่อไป