xs
xsm
sm
md
lg

ไทยส่งออกอาหารสุนัข-แมว ขึ้นแท่นเบอร์ 2 โลก ชี้คนชอบเลี้ยงสัตว์ หนุนตลาดโตแรง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สนค.วิเคราะห์การส่งออกสินค้าอาหารสุนัขและแมวของโลกและของไทย ปี 67 พบไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 2 ของโลก รองจากเยอรมนี มีสัดส่วนส่งออก 10% สหรัฐฯ เป็นตลาดอันดับหนึ่ง ตามด้วยญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อิตาลี และมาเลเซีย มีสัดส่วนรวมกันสูงถึง 62.3% เผยปัจจัยหนุนมาจากคนชอบเลี้ยงสัตว์ คนสูงอายุและคนรุ่นใหม่ นิยมเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นเพื่อน ระบุยังใส่ใจสุขภาพสัตว์ อาหารต้องดี มีคุณภาพ แนะผลิตสินค้าให้ตอบโจทย์ เข้มเรื่องสิ่งแวดล้อม มีโอกาสขายได้อีกมาก

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค.ได้วิเคราะห์การค้าสินค้าอาหารสุนัขและแมวของโลกและไทยในปี 2567 พบว่า ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสุนัขและแมว อันดับที่ 2 ของโลก มูลค่า 2,677.03 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 29% มีสัดส่วน 10% ของมูลค่าส่งออกอาหารสุนัขและแมวของทั้งโลก ตามหลังเยอรมนี ที่ครองอันดับที่ 1 มาหลายปี โดยมีมูลค่า 3,282.69 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 12.3% ส่วนประเทศผู้ส่งออกสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ สหรัฐฯ มูลค่า 2,520.71 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 9.4% โปแลนด์ มูลค่า 2,408.40 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 9.0% และฝรั่งเศส มูลค่า 2,307.87 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 8.6%

สำหรับการนำเข้าอาหารสุนัขและแมวทั่วโลก ในปี 2567 มีมูลค่า 26,466.28 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยประเทศผู้นำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก คือ เยอรมนี มูลค่า 2,435.16 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 9.2% ของมูลค่านำเข้ารวมของโลก รองลงมา คือ สหรัฐฯ มูลค่า 2,215.51 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 8.4% สหราชอาณาจักร มูลค่า 1,762.27 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 6.7% โปแลนด์ มูลค่า 1,530.44 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 5.8% และแคนาดา มูลค่า 1,379.63 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 5.2%

ส่วนการส่งออกอาหารสุนัขและแมวของไทย ในปี 2567 มีมูลค่า 2,677.03 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 29% ขยายตัวดีทั้งในตลาดหลักที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกสูง อาทิ สหรัฐฯ มูลค่า 868.40 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 47% สัดส่วน 32.4% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย ตลาดสำคัญรองลงมา ได้แก่ ญี่ปุ่น มูลค่า 329.37 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 0% สัดส่วน 12.3% ออสเตรเลีย มูลค่า 167.21 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 45% สัดส่วน 6.2% อิตาลี มูลค่า 164.94 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 34% สัดส่วน 6.2% และมาเลเซีย มูลค่า 138.18 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 8% สัดส่วน 5.2% โดยการส่งออกอาหารสุนัขและแมวจากไทยไป 5 ตลาดอันดับแรกดังกล่าว มีสัดส่วนรวมกัน 62.3% ของมูลค่าการส่งออกอาหารสุนัขและแมวจากไทยไปโลก


ทางด้านตลาดอื่น ๆ ที่ขยายตัว มีทั้งสหภาพยุโรป เช่น เยอรมนี เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ อาเซียน เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ เอเชียตะวันออก เช่น ไต้หวัน จีน เกาหลีใต้ เอเชียใต้ เช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดิอาระเบีย คูเวต อิสราเอล ตุรกี ยุโรปตะวันออก เช่น โปแลนด์ ลิทัวเนีย เช็ก โรมาเนีย

อย่างไรก็ตาม การส่งออกในช่วง 7 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-ก.ค.) ไทยส่งออกอาหารสุนัขและแมว มูลค่า 1,685.74 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 10.72% โดยสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย มีมูลค่า 609.86 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 26% ถือว่าขยายตัวได้ดี แต่ก็ต้องจับตาหลังการขึ้นภาษีนำเข้าเป็น 19% และประเด็นกฎเกณฑ์การสะสมถิ่นกำเนิดสินค้า (Local Content) ที่ต้องติดตามต่อไป

นายพูนพงษ์กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญทำให้สินค้าไทยมีโอกาสขยายตลาดได้ในหลากหลายภูมิภาค เนื่องจากความนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ทั้งจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นและสังคมที่มีขนาดครอบครัวเล็กลง ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ลำพังมักเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นเพื่อน และคนรุ่นใหม่ที่มีบุตรช้าหรือไม่แต่งงานก็นิยมเลี้ยงสัตว์มากขึ้น และพฤติกรรมผู้บริโภคในหลายประเทศที่หันมาสนใจสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้น มาจากเทรนด์การใส่ใจสุขภาพสัตว์เลี้ยง ผู้ซื้อจึงหันมาสนใจสินค้าเกรดพรีเมียมจากต่างประเทศ รวมถึงสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น ซึ่งความต้องการสินค้ากลุ่มนี้ ผู้ประกอบการไทยที่พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่หลากหลายฟังก์ชัน เช่น อาหารสัตว์เลี้ยงเพื่อสุขภาพ วิตามินสูง สัตว์เลี้ยงเด็ก สัตว์เลี้ยงป่วยหรือชรา โดยมีสูตรที่หลากหลายและใช้วัตถุดิบคุณภาพ จะตอบโจทย์ผู้บริโภคตามเทรนด์นี้ได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ นอกจากเทรนด์ความต้องการสินค้าอาหารฟังก์ชันและเกรดพรีเมียมแล้ว ยังต้องให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาทิ การใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หากผู้ส่งออกไทยสามารถผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์แนวโน้มดังกล่าวได้ จะมีโอกาสขยายการส่งออกทั้งในตลาดหลัก เช่น ยุโรป และสหรัฐฯ รวมถึงโซนเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน และตลาดใหม่ในตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออกด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น