การท่าเรือฯ -กรมขนส่งฯ เซ็น MOU ต่ออายุความร่วมมือส่งต่อข้อมูลรถบรรทุกแบบเรียลไทม์ รวมศูนย์ Big Data “ทะเบียนรถ ใบขับขี่และข้อมูลการเดินทาง “ใช้บริการจัดการที่เข้า-ออกเขตท่าเรือ หวังแก้ปัญหารถติด เพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ
วันที่ 12 ก.ย. 2568 การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) และกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ฉบับใหม่ เพื่อทดแทนบันทึกข้อตกลงเดิม ระยะเวลา 3 ปี ที่สิ้นสุดวันที่ 22 สิงหาคม 2568 โดยครั้งนี้ได้ขยายขอบเขตความร่วมมือให้ครอบคลุมถึง ข้อมูลการติดตามรถบรรทุก สำหรับการควบคุมความปลอดภัย และวิเคราะห์ระบบขนส่งสินค้า ถือเป็นก้าวสำคัญในการแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน เพื่อสนับสนุนการดำเนินภารกิจของทั้งสองหน่วยงาน ยกระดับประสิทธิภาพการบริหารงาน การอำนวยความสะดวกในการบริการลูกค้าและประชาชน โดยมีนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. และนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เป็นผู้ลงนาม
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า การท่าเรือฯและกรมขนส่งฯ ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการประสานความร่วมมือในการบูรณาการแลกเปลี่ยนข้อมูลหน่วยงานรัฐ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนภารกิจด้านการแบ่งปันข้อมูล 3 เรื่องหลัก คือ 1. ข้อมูลทางทะเบียนยานพาหนะ 2.ข้อมูลใบอนุญาตผู้ประจำรถ และ3. ข้อมูลระบบบันทึกข้อมูลการเดินทางของรถ (DLT GPS) แบบเรียลไทม์ของกรมการขนส่งทางบก รวมถึงข้อมูลสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ เพื่อใช้สำหรับการวิเคราะห์สาเหตุและปัญหาการจราจรติดขัดในพื้นที่การท่าเรือฯ และเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินงานโดยเป็นเครื่องมือสนับสนุนให้การท่าเรือฯ หาแนวทางการแก้ไขผลกระทบที่เกิดจากปัญหาการจราจรบริเวณเขตท่าเรือ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาในระยะยาวอย่างยั่งยืน
อีกทั้งการท่าเรือฯ จะสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการขนส่งสินค้า ข้อมูลการบรรทุกสินค้าที่อยู่ในความควบคุม กำกับของการท่าเรือฯ ข้อมูลจำนวนรถบรรทุก ข้อมูลทะเบียนรถ ลักษณะและประเภทของสินค้าที่ผ่านท่าเรือทุกแห่งภายในประเทศเพื่อประโยชน์ในการดำเนินภารกิจหลักของกรมการขนส่งทางบกในการพัฒนาระบบการขนส่งสินค้าของประเทศ และถือเป็นการดำเนินการ เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดินและการให้บริการประชาชนและเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนต่อไป
สำหรับการลงนามในความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการต่อยอดและขยายขอบเขตกรอบการบูรณาการด้านข้อมูล ได้แก่ การติดตามการเดินรถของรถบรรทุกขนส่งสินค้าในบริเวณพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือกรุงเทพ เพื่อนำไปวิเคราะห์ข้อมูลแนวทางในการแก้ไขปัญหาจราจรบริเวณท่าเรือ อันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ของประเทศ โดยการท่าเรือแห่งประเทศไทยและกรมการขนส่งทางบก เล็งเห็นถึงความสำคัญของข้อมูลที่จะสามารถนำมาปรับใช้กับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งหวังว่าความร่วมมือกันในวันนี้จะเป็นการช่วยยกระดับและพัฒนาด้านระบบการขนส่งสินค้าของประเทศไทยต่อไป
นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. เปิดเผยว่า ข้อมูลด้านรถยนต์ทั้งหมด ที่ขบ.ส่งต่อให้ กทท.แบบเรียลไทม์ จะช่วยให้สามารถวางแผนการบริหารจัดการและแก้ปัญหาจราจรได้ทั้งระบบ ตั้งแต่เริ่มจากโรงงานมาถึงท่าเรือ เป็นการใช้ประโยชน์จาก Big Data เพื่อขับเคลื่อนการทำงานภาครัฐสู่ยุคดิจิทัล โดยการเสริมศักยภาพการบริหารจัดการยานพาหนะที่เข้า-ออกเขตท่าเรือ สามารถตรวจสอบ ควบคุม ลดปัญหาการจราจรติดขัด และเพิ่มความปลอดภัยในพื้นที่ท่าเรือได้อย่างเป็นระบบ สร้างประโยชน์โดยตรงต่อผู้ประกอบการ ผู้ใช้บริการท่าเรือและระบบเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งยังช่วยลดต้นทุนด้านการขนส่งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
“ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ท่าเรือแหลมฉบังเกิดปัญาหารถติดภายในสูงสุด 6 -8 ชั่วโมง ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากกรณีภาษีทรัมพ์ ที่ทำให้มีการรีบส่งออก ปริมาณสินค้าจึงเพิ่มขึ้นกว่าปกติ โดยจำนวนรถบรรทุกเข้า-ออกท่าเรือฯเฉลี่ย 15,000 คัน/วัน สูงสุด 20,000 คัน/วัน ซึ่งคาดหวังว่าเมื่อมีข้อมูลเชื่อมเข้ามาแบบเรียลไทม์ จะช่วยให้รถติดในเขตท่าเรือลดลง หรือติดข้ดน้อยที่สุด ใช้เวลาในเขตท่าเรือ 2-4 ชั่วโมง เพราะจะช่วยผู้ประกอบการลดค่าใช้จ่ายได้
โด ภายใต้บันทึกข้อตกลงครั้งนี้ กทท. และ ขบ. ได้กำหนดแนวทางการเชื่อมโยงข้อมูลที่สำคัญร่วมกัน ทั้งข้อมูลทะเบียนยานพาหนะ ใบอนุญาตผู้ขับรถ ข้อมูลการเดินทางจากระบบ GPS ตลอดจนข้อมูลด้านการขนส่งสินค้า อาทิ ปริมาณการบรรทุก ประเภทสินค้า จำนวนรถบรรทุกที่เข้าใช้บริการท่าเรือ ทั้งหมดนี้เพื่อใช้ประโยชน์ในการตรวจสอบ ควบคุม และบริหารจัดการการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งนำไปวิเคราะห์เพื่อกำหนดมาตรการด้านการขนส่งที่รัดกุมและทันสมัยมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ทั้งสองหน่วยงานยังร่วมกันส่งเสริมบุคลากรในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ เช่น การตรวจสอบ การวิเคราะห์ และการประมวลผลข้อมูล รวมถึงการพัฒนาเทคนิคในการติดตามและกำกับดูแลยานพาหนะ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายสอดคล้องตามนโยบายของรัฐ พ.ร.บ. การบริหารงานและการให้บริการ ภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
การลงนาม MOU ครั้งนี้ เป็นการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ สะท้อนบทบาทสำคัญของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในฐานะกลไกหลักที่ช่วยยกระดับระบบโลจิสติกส์ ลดต้นทุนการขนส่ง เสริมขีดความสามารถในการแข่งขันและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน