กรมการค้าต่างประเทศแจ้งข่าวผู้ส่งออก จีนปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยอาหารกรณีสินค้านมเปรี้ยวหลังมาตรฐานเดิมใช้บังคับกว่า 14 ปี เผยมาตรฐานใหม่ เพิ่มคำจัดความนมเปรี้ยว การใช้นมข้นเป็นวัตถุดิบผลิต ข้อบ่งชี้ทางกายภาพ และเงื่อนไขไขมันของนมแต่ละประเทศ ดีเดย์บังคับใช้ 16 ก.ย.68 เตือนผู้ส่งออกศึกษา ปฏิบัติตาม เพื่อให้ไทยยังขยายตลาดจีนได้ต่อเนื่อง
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (National Health Commission : NHC) และสำนักงานกำกับดูแลตลาดแห่งรัฐ (State Administration for Market Regulation : SAMR) แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้เผยแพร่มาตรฐานความปลอดภัยอาหารแห่งชาติสำหรับนมเปรี้ยวและผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวปรุงแต่งฉบับใหม่ (มาตรฐานหมายเลข GB 19302-2025) ซึ่งได้ปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยจากฉบับเดิมที่บังคับใช้ตั้งแต่เดือน ธ.ค.2553 รวมระยะเวลากว่า 14 ปี และมาตรฐานใหม่จะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 16 ก.ย.2568 เป็นต้นไป
โดยมาตรฐานใหม่มีสาระสำคัญหลัก 4 ประการ สรุปได้ดังนี้ 1.คำจำกัดความของนมเปรี้ยว (Fermented milk) และผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวปรุงแต่ง (Flavored fermented dairy products) 2.ข้อกำหนดการใช้นมข้นเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับผลิตนมเปรี้ยวในอุตสาหกรรมอาหาร 3.ข้อบ่งชี้ทางกายภาพ และเคมีในส่วนของความเป็นกรดสำหรับนมเปรี้ยว และ 4.เงื่อนไขปริมาณไขมันของนมแต่ละประเภท ได้แก่ ไขมันพร่องมันเนย (skimmed) ไขมันพร่องมันเนยบางส่วน (partially skimmed) หรือไขมันทั้งหมด (whole fat)
ทั้งนี้ จากข้อมูลสถิติการค้า ไทยส่งออกสินค้านมเปรี้ยวไปยังจีนเป็นลำดับที่ 6 รองจากฟิลิปปินส์ เวียดนาม สปป. ลาว กัมพูชา และเมียนมา โดยในปี 2567 ไทยส่งออกไปจีนปริมาณ 3,609.08 ตัน มูลค่า 140.68 ล้านบาท และในช่วง 6 เดือน ปี 2568 (ม.ค.-มิ.ย.) ไทยส่งออกไปจีนปริมาณ 1,781.85 ตัน มูลค่า 66.98 ล้านบาท คิดเป็น 2.48% ของสัดส่วนการส่งออกสินค้านมเปรี้ยวของไทยทั้งหมด
“สินค้านมของไทยเป็นสินค้าที่มีศักยภาพในการส่งออกเพิ่มขึ้นทุกปี และจีนถือเป็นตลาดขนาดใหญ่และเป็นตลาดใหม่ที่มีความสำคัญมากขึ้น ผู้ประกอบการไทยควรศึกษามาตรฐานสินค้าของประเทศคู่ค้าอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าได้ตามมาตรฐานและตรงกับความต้องการของประเทศคู่ค้า รวมถึงสามารถส่งสินค้าไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศได้อย่างถูกต้อง หากปฏิบัติตามได้จะเป็นการเพิ่มโอกาสขยายตลาดให้เติบโตมากขึ้น”นางอารดากล่าว
อย่างไรก็ตาม กรมจะติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการในต่างประเทศ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อเตรียมความพร้อมในการปรับตัวกับนโยบายของประเทศคู่ค้าต่อไป