สนค.เตรียมนำเสนอผลศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างภาคการส่งออก 2 คลัสเตอร์ศักยภาพ “อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่-ยานยนต์แห่งอนาคต” ให้กับภาครัฐ และภาคเอกชน นำไปใช้ในการขับเคลื่อนและเพิ่มขีดความสามารถให้กับภาคอุตสาหกรรมต่อไป เผยอิเล็กทรอนิกส์ ต้องเพิ่มการผลิตชิ้นส่วนในประเทศ เพิ่มศักยภาพการผลิต ป้องกันสวมสิทธิ์ ยานยนต์ ต้องเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต ลดต้นทุน ชิ้นส่วนยานยนต์ต้องเพิ่มผลิตสินค้าใหม่
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินโครงการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างภาคการส่งออก 2 คลัสเตอร์ศักยภาพ คือ อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่และยานยนต์แห่งอนาคตเสร็จแล้ว และจะนำผลการศึกษาเชิงลึกและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนาและยกระดับภาคการส่งออกของไทยส่งมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ นำไปร่วมขับเคลื่อนให้เกิดเป็นรูปธรรม และภาคเอกชนได้ใช้ประโยชน์ประกอบการตัดสินใจวางกลยุทธ์ในการเปลี่ยนผ่านการผลิตจากกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมศักยภาพมูลค่าสูงที่สอดคล้องกับความต้องการของโลกอนาคตต่อไป
สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ (NGEC) พบว่า เป็นคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพขับเคลื่อนภาคการส่งออกของไทยในระยะปานกลาง 4-5 ปีข้างหน้า เนื่องจากได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตของบริษัทข้ามชาติ จากประเด็นสงครามการค้า เทคโนโลยี และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้บริษัทข้ามชาติเพิ่มการลงทุนในไทย สะท้อนจากการย้ายฐานการลงทุน ทั้ง Front-end และ Back-end Wafer Fabrication และการขยายการลงทุนของหลายบริษัทในผลิตภัณฑ์ที่่มีศักยภาพสูง ได้แก่ Integrated Circuits ตัวขยายสัญญาณ และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์
โดยแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ต้องผลักดันให้เกิดห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ จะเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรักษาความสามารถการส่งออกอย่างยั่งยืน และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนจากจีน ควบคู่กับการมียุทธศาสตร์ระดับชาติและการสร้างพันธมิตรทางการค้าที่มีอาเซียนเป็นศูนย์กลาง และควรจะเพิ่มศักยภาพการผลิตและส่งออก ด้วยการสนับสนุนแหล่งเงินทุนระยะปานกลาง การกระตุ้นผ่านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยรายย่อย และการเตรียมรับมือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น ปัญหาการสวมสิทธิ์ต่าง ๆ จะเป็นสิ่งที่ทำให้ไทยใช้ศักยภาพของ NGEC ได้เต็มที่ โดยหากมีการดำเนินมาตรการเหล่านี้จะมีส่วนช่วยผลักดันให้การส่งออกในระยะสั้นเพิ่มขึ้นระหว่าง 6,000–7,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อให้เกิดการลงทุนใหม่กว่า 70,000 ล้านบาทต่อปี
ส่วนคลัสเตอร์ยานยนต์แห่งอนาคต (NGMC) ไทยยังคงเป็นฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์รายใหญ่ของโลก โดยเฉพาะรถยนต์นั่งขนาดเล็ก ขนาดกลาง รวมถึงชิ้นส่วนจำพวกชิ้นส่วนพลาสติกและยาง ชิ้นส่วนอื่น ๆ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แต่ความต้องการในประเทศชะลอตัวลงจากการแข่งขันของ BEV นโยบายอุดหนุน และภาวะเศรษฐกิจ การกระตุ้นการส่งออกจึงเป็นทางออกของ NGMC โดยการส่งเสริมการส่งออกรถยนต์ ไทยจำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต การลดต้นทุนที่เกิดจากกฎระเบียบ และการสนับสนุนจากรัฐในด้านการตรวจสอบมาตรฐานและเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการไทย
ขณะที่กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ยังสามารถต่อยอดไปสู่ตลาดใหม่ เช่น REM (Replacement Market) และสร้างความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมอื่น และสินค้าศักยภาพในอนาคต คือ กลุ่ม Smart Auto Parts ซึ่งเชื่อมโยงระหว่าง NGMC และ NGEC ถือเป็นพื้นที่ใหม่ที่ควรเร่งสนับสนุนทั้งเชิงเทคโนโลยี มาตรฐาน และการเข้าถึงแหล่งทุน และควรจัดหาแหล่งเงินทุนระยะปานกลางที่ให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานการผลิตในระยะยาวของประเทศประกอบการปล่อยสินเชื่อ โดยผลของมาตรการเหล่านี้ จะทำให้การส่งออกในระยะสั้นเพิ่มขึ้นระหว่าง 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อให้เกิดการลงทุนใหม่กว่า 70,000 ล้านบาทต่อปี
โดยโครงการศึกษาดังกล่าว เกิดขึ้นจากการตระหนักถึงความสำคัญของการส่งออกต่อเศรษฐกิจไทยในฐานะเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาประเทศมาอย่างยาวนาน แต่กำลังเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน อาทิ การต่อยอดจากการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทข้ามชาติ การสร้างความเชื่อมโยงกับภาคเศรษฐกิจภายในประเทศทั้งเกษตรและอุตสาหกรรม และแรงกดดันจากการแข่งขัน รวมถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกทั้งทางด้านเทคโนโลยีและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ การเตรียมความพร้อมเพื่อปรับโครงสร้างการส่งออก จึงเป็นสิ่งที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ โดยต่อยอดศักยภาพการส่งออกที่มีอยู่เดิมพร้อมกับผลักดันสินค้าส่งออกศักยภาพใหม่ ๆ ที่มีโอกาสทางการตลาด นำไปสู่การเพิ่มรายได้ให้แก่ภาคการส่งออกอย่างยั่งยืน
ที่ผ่านมา ผลการศึกษาวิเคราะห์โครงสร้างการส่งออกในภาพรวม พบว่า สินค้าอุตสาหกรรมยังคงเป็นหัวใจหลักของการส่งออกไทย สัดส่วน 80% โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และเครื่องจักร ขณะที่สินค้าเกษตรและอาหาร มีบทบาทเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในหมวดสินค้าแปรรูป เช่น ไก่ ปลา และผลไม้ (ทุเรียน มะพร้าว มังคุด) ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมที่ไทยมีความได้เปรียบในตลาดโลก คือ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์ไม้ กระดาษ เครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมอากาศยาน