"ประเทศเรายังต้องมีการลงทุนอีกมาก เพดานหนี้สาธารณะที่ 70% คงต้องปรับ แต่จะใช้ทรัพยากรเหล่านั้นไปทำอะไร เป็นสิ่งที่เราต้องมาช่วยกันทบทวน อย่างที่ว่าในวิกฤติมีโอกาส ตอนนี้ในช่วงที่ประเทศไทยเจอหลายปัญหาถาโถมแต่ก็เป็นโอกาสที่จะเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศได้ แต่ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่ได้ใช้โอกาสนี้เลย"
ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญแรงกดดันจากความผันผวนทั้งด้านการค้า การเมือง และมาตรการภาษีตอบโต้ ประเทศไทยเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบเหล่านี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกมายาวนานอย่าง “เศรษฐกิจนอกระบบ” กลายเป็นตัวฉุดรั้งศักยภาพการเติบโต ทำให้ไทยติดอยู่ใน “กับดักศักยภาพต่ำ” และเปราะบางต่อแรงกระแทกจากปัจจัยภายนอก
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทยและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ออกมา สะท้อนภาพจริงของเศรษฐกิจไทยบนเวที iBusiness Forum Decode 2025 : The Mid-Year Signal พร้อมเตือนว่าหากไม่เร่งแก้ไข ไทยอาจสูญเสียโอกาสสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจสู่อนาคต จึงเสนอ 3 ทางออกสำคัญ “กระตุก – ประคอง – ปฏิรูป” เพื่อเร่งสร้าง “กล้ามเนื้อใหม่” ให้ระบบเศรษฐกิจ
ไทยติดกับดักเศรษฐกิจนอกระบบ
นายผยง เปิดมุมมองต่อปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจไทย โดยระบุว่า เศรษฐกิจนอกระบบ ของไทยมีขนาดใหญ่มากจนกลายเป็น “กับดักเชิงโครงสร้าง” และเสนอ 3 แนวทางแก้ไขหลัก คือ กระตุก – ประคอง – ปฏิรูป เพื่อใช้ทรัพยากรจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการ Target ชัดเจน ไม่ใช้วิธีเหมาเข่ง และต้องเร่งยกระดับการสร้างรายได้ควบคู่กับเพิ่มโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ความท้าทายภาคการเงินและการส่งผ่านทรัพยากร
นายผยง เริ่มต้นอธิบายว่า ระบบการเงินการธนาคารเป็น ตัวสะท้อนเศรษฐกิจประเทศ เปรียบเสมือน “กลไกการส่งผ่านทรัพยากรและสภาพคล่อง” หรือ “เลือดที่หล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อเศรษฐกิจ” แต่ปัจจุบันศักยภาพการเติบโตของไทยถูกท้าทายด้วยปัจจัยภายนอก เช่น มาตรการภาษีตอบโต้จากประเทศคู่ค้า ซึ่งไม่รู้แน่ว่าจะอยู่ที่ 10%, 20% หรือ 30% แต่ก็สร้างแรงกระเพื่อมต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ด้านการเงินยังพบว่า กองทุนรวมลงทุนต่างประเทศ (FIF) มีเงินกว่า 1.33 ล้านล้านบาท ไหลออกไป เนื่องจากตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนติดลบกว่า 10% ในปีที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ โตเกือบ +9% แสดงให้เห็นว่า สภาพคล่องไทยไหลตามกลไกตลาดโลก และไม่อาจฝืนกลไกทุนนิยมได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ยืนยันได้คือสภาพคล่องไทยในระบบยังอยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ การลงทุนโดยตรงของบริษัทไทยในต่างประเทศ รวมปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 7 ล้านล้านบาท ขณะที่ตลาดหุ้นไทย Price to Book Value เฉลี่ยทั้งตลาดเพียง 1.1% และกว่า 70% ของบริษัทในตลาดมี P/B ต่ำกว่า 1 ซึ่งสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างลึกในระบบเศรษฐกิจ
“ระบบการเงินการธนาคารคือตัวกลาง ในการส่งผ่านทรัพยากรทางการเงินและสภาพคล่องให้ไปเป็นเลือดในการหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อ หรือเป็นกลไกทางเศรษฐกิจให้เติบโตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่วันนี้ศักยภาพของเรากำลังจะถูกท้าทาย”
เศรษฐกิจไทยนอกระบบ ต้นตอความเปราะบาง
นายผยง ระบุว่า นอกจากความท้าทายด้านการเงินแล้ว เศรษฐกิจไทยยังคงติดกับดักเศรษฐกิจนอกระบบ โดยไทยถือว่าอยู่ในกลุ่ม TOP ของโลก ถ้าเรา Zoom in การมีเศรษฐกิจนอกระบบสูงถึง 48% ได้นำไปสู่ผลข้างเคียงอื่น ๆ อีกมากมายนำไปสู่ปัญหาเป็นลูกโซ่ เช่น
•แรงงานนอกระบบ 51%
•ผู้เสียภาษีในระบบ มีเพียง 11-12 ล้านคน แต่มีผู้เรียกร้องสวัสดิการกว่า 68 ล้านคน
•นิติบุคคลรายเล็ก ที่จดทะเบียนเพียง 26%
•หนี้ครัวเรือน : งานวิจัยจุฬาฯ ชี้ว่า 34% ของครัวเรือนไทยเป็นหนี้นอกระบบ เฉลี่ย 9.19 หมื่นบาท / ครัวเรือน หนี้นอกระบบคิดเป็น 13.4% และในระบบ 86.6% รวมกันกว่า 104% ของรายได้ และหากรวม Gross Debt ทั้งหมดจะสูงถึง 117%
ปัญหานี้สะท้อนว่า “กล้ามเนื้อเศรษฐกิจไทย” ต้องพึ่งพากลไกนอกระบบ เพราะกลไกในระบบไปไม่ถึงผลข้างเคียงตามที่ธนาคารโลกระบุ ได้แก่ 1. รายได้ต่ำ 2. ความยากจนและเหลื่อมล้ำสูง 3. ธรรมาภิบาลด้อย 4. ผลิตภาพต่ำ 5. ความยืดหยุ่น (Resilience) ต่ำ 6. การพัฒนาความยั่งยืนล่าช้า ทำให้ต้องใช้งบเยียวยาประชาชนต่อเนื่องและยาวนาน
ที่สำคัญ อัตราคอร์รัปชันสูง สอดคล้องกับขนาดเศรษฐกิจนอกระบบ เงินส่วนหนึ่งถูกเปลี่ยนไปเก็บใน คริปโตและทองคำ ทำให้ไม่เกิดการหมุนเวียนสู่เศรษฐกิจจริง และยังกระทบค่าเงินบาทจนกระทบภาคส่งออก “จะเห็นได้เวลาที่เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ก็ต้องมีการชดเชยเยียวยา ทั้งหมดเป็นการเอาทรัพยากรสาธารณะไปสู่การเยียวยาอย่างมาก ต่อเนื่อง และเป็นระยะเวลานาน เพราะประชากรของเราส่วนหนึ่งไม่มีความสามารถที่ยืดหยุ่น ทนทานกับภัยธรรมชาติและความเปราะบางทางสังคมเศรษฐกิจได้”
ทางรอด : กระตุก – ประคอง – ปฏิรูป
นายผยง ยังเสนอด้วยว่า การแก้ปัญหาต้องทำพร้อมกัน 3 ส่วน
1. มาตรการกระตุก – เร่งแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและ SME อย่างเร่งด่วน ใช้เครื่องมือทางการเงิน เช่น มาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” ของธนาคารพาณิชย์และแบงก์ชาติ แต่ต้องปรับให้ครอบคลุมหนี้นอกระบบด้วย เพราะปัจจุบันมาตรการส่วนใหญ่เน้นเฉพาะลูกหนี้ในระบบ
2. มาตรการประคอง – ช่วยเหลือธุรกิจที่ยังดำเนินต่อได้แต่ได้รับผลกระทบเฉียบพลัน เช่น ภาษีตอบโต้หรือมาตรการกีดกันทางการค้า
3. การปฏิรูป – สำคัญที่สุดและเลี่ยงไม่ได้ ต้องใช้ทรัพยากรให้ตรงกลุ่ม ไม่เหมาเข่ง เช่น อุตสาหกรรมที่ควรสนับสนุน ทักษะที่แรงงานต้องมี และการจ้างงานที่สร้างรายได้จริง เพื่อเร่งสร้าง “กล้ามเนื้อใหม่” ให้เศรษฐกิจ
นายผยงย้ำว่า “เราต้องช่วยทั้งคนที่จมน้ำ คนที่ต้องการประคอง และต้องเร่งสร้างกล้ามเนื้อใหม่ไปพร้อมกัน ในสภาวะที่เราติดกับดักแบบนี้ต้องเดิน 3 ส่วนไปพร้อมกัน เช่นการกระตุก โดยเฉพาะในเรื่องของหนี้ครัวเรือน หรือหนี้ SME แล้วก็ประคองกลุ่มที่ยังไปได้แต่ได้รับผลกระทบเฉียบพลันจากภาษีตอบโต้ และสามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ปฏิรูป ต้องแยกแยะกลุ่มให้ชัดเจน เพราะว่าทรัพยากรมีจำกัด ใช้แล้วก็มีวันหมดแต่ละกลุ่มมีความต้องการทรัพยากรที่ต่างกัน อย่าเหมาเข่ง เหมารวม หรือใช้ทรัพยากรสาธารณะที่มีอยู่จำกัดอย่างไม่คุ้มค่า”
เร่งยกระดับรายได้ – เพิ่มโอกาสโต
เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว นายผยง เสนอแนวทางดังนี้
•สร้างทักษะแรงงานใหม่ ดึงคนเข้าสู่ระบบการศึกษาที่เชื่อมโยงกับการจ้างงาน
•ใช้ กยศ. เป็นกลไกยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน
•สนับสนุนผู้ประกอบการไทย ให้แข่งขันได้เท่าเทียมกับต่างประเทศ
•ส่งเสริมการจ้างงานในประเทศ และใช้ทรัพยากรในประเทศ
•ตั้งกองทุนพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี ผ่านความร่วมมือรัฐ-เอกชน
นอกจากนี้ นายผยงมองว่า "ประเทศเรายังต้องมีการลงทุนอีกมาก เพดานหนี้สาธารณะที่ 70% คงต้องปรับ แต่จะใช้ทรัพยากรเหล่านั้นไปทำอะไร เป็นสิ่งที่เราต้องมาช่วยกันทบทวน อย่างที่ว่าในวิกฤติมีโอกาส ตอนนี้ในช่วงที่ประเทศไทยเจอหลายปัญหาถาโถมแต่ก็เป็นโอกาสที่จะเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศได้ แต่ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่ได้ใช้โอกาสนี้เลย"
ดึงเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบ
นายผยง เสนอให้ภาครัฐสร้าง สิ่งจูงใจ เช่น การทำให้เข้าถึงกลไกภาครัฐง่ายและรวดเร็วแบบ One Stop Service ควบคู่กับปฏิรูปโครงสร้างภาษี เพื่อกระจายทรัพยากรไปยังจุดที่จำเป็น และสนับสนุนการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศอย่างเต็มประสิทธิภาพ
ส่วนการบังคับใช้กฎหมาย นายผยง ชี้ว่าประเทศไทยไม่ได้มีปัญหาการออกกฎหมาย แต่การบังคับใช้ไม่ตรงตามเจตนา จึงต้องลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเข้ามาช่วย
นายผยง ยังทิ้งท้ายอีกว่า มาตรการต้องมี Target ชัดเจนและเชื่อมโยงเป็นห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้เงิน และอาจต้องทบทวนงบประมาณปี 2569 รวมถึงการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ แต่การใช้เงินต้องให้เกิดผลระยะยาว ไม่ใช่แก้เฉพาะหน้า
สุดท้ายอยากฝากว่า ทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และประชาชน ต้องร่วมมือกันเติมเต็มองค์ความรู้ เพื่อสร้างความเข้าใจและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน