สนค.เผยธุรกิจออกกำลังกายมีแนวโน้มเติบโตสูง จากพฤติกรรมผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพ และปัจจุบันมีเทคโนโลยีดิจิทัลที่ช่วยให้การออกกำลังกายง่ายขึ้น มีคลาสออกกำลังกายรูปแบบใหม่ๆ มีกลุ่มสร้างแรงจูงใจ เผยมวยไทยก็เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับความนิยม แนะผู้ประกอบการพัฒนาธุรกิจให้ตอบโจทย์ คุณภาพดี ราคาเข้าถึงได้
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญและมีค่านิยมในการใส่ใจสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารสุขภาพและอาหารเสริม ส่งผลทำให้ยอดขายสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพเติบโตขึ้น จึงเป็นโอกาสของผู้ที่สนใจสร้างรายได้จากการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะธุรกิจออกกำลังกาย ที่ปัจจุบันมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโต เช่น กระแสการใส่ใจสุขภาพและการมีอายุที่ยืนยาว และการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่ช่วยให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการใช้แอปพลิเคชัน อุปกรณ์ติดตามการออกกำลังกาย (fitness tracking) คลาสออกกำลังกายออนไลน์ ตลอดจนเกิดความนิยมในการออกกำลังกายในรูปแบบผสมผสาน เช่น การชกมวยกับพิลาทิส (Piloxing) เวตเทรนนิ่งกับพิลาทิส รวมทั้งการให้ความสำคัญต่อการออกกำลังทั้งกายและใจ เช่น โยคะ การออกกำลังกายเป็นกลุ่มและการจัดตั้งคอมมูนิตีฟิตเนส เพื่อสร้างแรงจูงใจและสนับสนุนให้กำลังใจกัน การมีแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ที่ให้ข้อมูลและกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาออกกำลังกายตามอินฟลูเอนเซอร์ และการให้ความสำคัญต่อรูปร่าง บุคลิกภาพและภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่
ทั้งนี้ ยังพบว่า ธุรกิจมวยไทย เป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นรูปแบบการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพสูงในการสร้างความแข็งแรงของร่างกาย ช่วยลดความเครียด และพัฒนาบุคลิกภาพได้ และมวยไทยยังเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่กระทรวงพาณิชย์ส่งเสริมและผลักดันการส่งออกในระดับสากล ทั้งการขยายศูนย์ฝึกมวยไทย เปิดค่ายมวยและโรงเรียนสอนมวยไทยในต่างประเทศ เพิ่มคลาสมวยไทยในโรงยิม และจัดการแข่งขันมวยไทยในระดับสากล รวมทั้งส่งออกสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับมวยไทย เช่น อุปกรณ์กีฬา เครื่องแต่งกาย อาหารเสริม จึงยังมีโอกาสสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนในธุรกิจดังกล่าวอีกมาก สามารถต่อยอดสู่การสร้างรายได้อย่างเป็นรูปธรรมจากกระแสสุขภาพที่ยังคงเติบโต หรือการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
“แม้ธุรกิจออกกำลังกายจะมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้ประกอบการก็ต้องพัฒนาธุรกิจให้ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคโดยคำนึงปัจจัยต่างๆ เช่น การตอบสนองความต้องการ เป้าหมายการออกกำลังกายของผู้ใช้บริการแต่ละคน ราคาที่เข้าถึงได้ คุณภาพการให้บริการที่ดี การจัดโปรโมชัน การสร้างความคุ้นชินโดยให้ทดลองใช้บริการ เพื่อให้เกิดการใช้บริการต่อเนื่องในอนาคต รวมทั้งอาจพิจารณาช่องทางการให้บริการที่หลากหลายเข้าถึงได้ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ และขยายการให้บริการในรูปแบบแพกเกจไปยังสินค้าและบริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย เช่น อาหารเพื่อสุขภาพ อุปกรณ์เสริมในการออกกำลังกาย” นายพูนพงษ์กล่าว
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า ในปี 2567 มีนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการในธุรกิจออกกำลังกายจำนวนทั้งหมด 2,499 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 12,933 ล้านบาท โดยส่วนมากเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก 2,485 ราย คิดเป็น 99.44% ของผู้ประกอบการทั้งหมด และในปี 2567 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 396 ราย เพิ่มขึ้น 33.33% จากปี 2566 นอกจากนี้ ธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย เช่น ธุรกิจขายส่งขายปลีกเครื่องกีฬา อุปกรณ์ฟิตเนส ชุดออกกำลังกายก็เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน โดยในปี 2567 ธุรกิจกลุ่มนี้มีการจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน 206 ราย เพิ่มขึ้น 28.75% ทั้งนี้ ในปี 2566 ธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายสามารถสร้างรายได้รวม 42,293 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.23% และทำกำไรได้ 1,482 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.51% สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตและโอกาสในตลาดสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่
ส่วนข้อมูลของสถาบัน Global Wellness ประเมินว่า ในปี 2566 ธุรกิจออกกำลังกายโลกมีมูลค่า 1.06 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดการณ์ว่าจะเติบโตในอัตราเฉลี่ยปีละ 5.8% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า จนมีมูลค่าประมาณ 1.41 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2571 โดยในปี 2566 ภูมิภาคอเมริกาเหนือมีมูลค่าตลาดธุรกิจออกกำลังกายมากที่สุด คือ 401,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 4.2% และภูมิภาคลาตินอเมริกาและแคริบเบียนมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดอยู่ที่ 19.5% ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีมูลค่าธุรกิจออกกำลังกาย 300,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 3.3% สำหรับตลาดรายประเทศ พบว่า ในปี 2566 สหรัฐฯ เป็นตลาดออกกำลังกายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก มูลค่าตลาดสูงถึง 376,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาจีน 155,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สหราชอาณาจักร 52,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เยอรมนี 41,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และญี่ปุ่น 37,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ
สำหรับไทย มีมูลค่าธุรกิจออกกำลังกาย 3,370 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงเป็นอันดับที่ 32 จาก 218 ประเทศทั่วโลก เพิ่มขึ้น 6.6% และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจากการสำรวจข้อมูลการออกกำลังกายของคนไทยอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป พบว่า ในปี 2567 มีคนที่ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างสม่ำเสมอ คิดเป็นสัดส่วน 44.39% เพิ่มขึ้นจาก 42.18% จากปี 2566
นอกจากนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคด้านสุขภาพและเวลเนสของ SCB EIC เมื่อปี 2566 จำนวน 1,402 คน พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่กว่า 90% นิยมออกกำลังกาย และสัดส่วนผู้ที่ออกกำลังกายมากกว่า 4 ครั้งต่อเดือนอยู่ที่ 56% ของผู้ตอบแบบสอบถาม และกิจกรรมออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ออกกำลังกายเป็นประจำ คือ กิจกรรมที่ทำต่อเนื่อง เช่น โยคะ/พิลาทิส วิ่ง และเข้ายิม/ฟิตเนส นอกจากนี้ คนไทยในแต่ละช่วงวัยนิยมออกกำลังกายในรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยพบว่ากลุ่ม Baby boomer นิยมการเดินออกกำลังกายมากที่สุด กลุ่ม Gen X นิยมการว่ายน้ำ โยคะ พิลาทิส กลุ่ม Gen Y นิยมการเข้ายิม/ฟิตเนส และกลุ่ม Gen Z นิยมการวิ่ง