สนค.วิเคราะห์หากอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ มีการประเมินราคาน้ำมันดิบเบรนท์อาจทะลุ 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล กระทบต้นทุนขนส่งและค่าระวางเรือ เผยไทยเจอปัญหาแน่ เหตุพึ่งพาน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางที่ส่งผ่านช่องแคบดังกล่าว ดันให้ราคาขายสูงขึ้น มีผลต่อเงินเฟ้อ และกระทบส่งออกไปตะวันออกกลาง แนะจับตาใกล้ชิด ประเมินผลกระทบ และเตรียมพร้อมรับมือ
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค.ได้ติดตามกรณีที่รัฐสภาอิหร่านได้ลงมติสนับสนุนให้ปิดช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ แม้ว่ามติดังกล่าวต้องได้รับการอนุมัติจากสภาความมั่นคงสูงสุดแห่งชาติและผู้นำสูงสุดอิหร่านก่อนที่จะดำเนินการ แต่พบว่ามีสัญญาณความตึงเครียดเกิดขึ้น เพราะช่องแคบดังกล่าวมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ หากอิหร่านตัดสินใจขัดขวางการขนส่งบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ อาจนำไปสู่การหยุดชะงักของการขนส่งน้ำมัน เนื่องจากเรือบรรทุกน้ำมันต้องหลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น เช่น การอ้อมผ่านทวีปแอฟริกา ซึ่งจะผลักดันให้ราคาพลังงานและอัตราเงินเฟ้อโลกเพิ่มขึ้น และกระทบเศรษฐกิจโลกอย่างกว้างขวาง
ทั้งนี้ ช่องแคบฮอร์มุซตั้งอยู่ระหว่างประเทศโอมานกับอิหร่าน เชื่อมต่อระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับทะเลอาหรับ โดยในปี 2567 ช่องแคบนี้ถูกใช้เป็นช่องทางขนส่งน้ำมันเฉลี่ย 20 ล้านบาร์เรลต่อวัน คิดเป็นประมาณ 25% ของการค้าน้ำมันทางทะเลทั่วโลก หรือคิดเป็น 20% ของการบริโภคปิโตรเลียมเหลวทั่วโลก และยังเป็นช่องทางเดินเรือเพื่อส่งออกสินค้าสำคัญของประเทศที่ส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเกือบทั้งหมดในตะวันออกกลาง ทั้งซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิหร่าน กาตาร์ บาห์เรน และคูเวต สะท้อนให้เห็นว่าช่องทางดังกล่าวเป็นเส้นทางน้ำที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่อระหว่างกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางกับตลาดสำคัญทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดเอเชียที่สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) ประเมินว่า ในปี 2567 มีน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ถึง 84% ที่ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซมุ่งหน้าสู่ตลาดเอเชีย
นายพูนพงษ์กล่าวว่า จากความไม่แน่นอนดังกล่าวได้สร้างความเสี่ยงให้กับตลาดพลังงานโลกแล้ว โดยราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มสูงขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 5 เดือน ราคาตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย. 2568 ถึงปัจจุบัน เพิ่มขึ้นแล้ว 13% โดย Goldman Sachs ประเมินว่า หากการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซลดลงครึ่งหนึ่งเป็นเวลา 1 เดือน ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อาจพุ่งขึ้นระยะสั้นสูงสุด 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากนั้นจะปรับลดลงเหลือ 95 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาสที่ 4 และประเมินว่า จะปิดช่องแคบอยู่ที่ 52%
นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าขนส่งและค่าเบี้ยประกันภัยการขนส่งทางทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น และทำให้อัตราค่าระวางเรือทั่วโลกเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดได้มีการปรับขึ้นราคาค่าธรรมเนียมสำหรับเรือที่ต้องการเดินทางผ่านอ่าวเปอร์เซียขึ้นจากราคาปกติ 0.125% เป็น 0.2% แล้ว
สำหรับผลกระทบต่อไทย แม้ไทยจะไม่ได้นำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน แต่ก็พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางที่ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซเป็นหลัก โดยในปี 2567 ไทยนำเข้าพลังงาน (น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันสำเร็จรูป) มูลค่า 45,902.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการนำเข้าจากกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางมูลค่า 24,139.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 52.6% ของการนำเข้าสินค้ากลุ่มดังกล่าวทั้งหมดของไทย แหล่งนำเข้าสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ คูเวต และโอมาน โดยนำเข้าจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย และกาตาร์เป็นหลัก หากช่องแคบฮอร์มุซถูกปิด อุปทานน้ำมันดิบกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศจะได้รับผลกระทบ และหากสถานการณ์ยืดเยื้ออาจนำมาสู่การเผชิญราคาน้ำมันและค่าพลังงานที่พุ่งสูง ซึ่งมีผลโดยตรงทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น เนื่องจากสินค้ากลุ่มพลังงานมีสัดส่วนน้ำหนักถึง 9.57% ในการคำนวณอัตราเงินเฟ้อ และการปิดกั้นช่องทางขนส่งสินค้าผ่านช่องแคบแห่งนี้ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทยไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางค่อนข้างมาก เนื่องจากส่วนใหญ่สินค้าไทยจะขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซไปยังท่าเรือ Jebel Ali ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าไปยังตะวันออกกลางและภูมิภาคอื่น ๆ แต่การส่งออกของไทยบางสินค้า อาจได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เช่น สินค้าส่งออกที่เกี่ยวกับน้ำมัน ได้แก่ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซปิโตรเลียมเหลว
“ความขัดแย้งในตะวันออกกลางในปัจจุบัน มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากกว่าที่ประเมินไว้ในช่วงแรก โดยความเป็นไปได้ที่อิหร่านจะดำเนินการขัดขวางการขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซมีสูงกว่าช่วงสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ และการต่อสู้กับกลุ่มพันธมิตรที่เริ่มตั้งแต่ปี 2566 เนื่องจากปัจจุบันเป็นการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ประกอบกับการที่สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทในการกดดัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทางอ้อมผ่านการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันหรือต้นทุนการขนส่ง เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในวิกฤตการณ์ทะเลแดงเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ดังนั้น ทุกฝ่ายจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเตรียมความพร้อมรับมือ โดยกระทรวงพาณิชย์จะประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเฝ้าระวังและวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป” นายพูนพงษ์กล่าว