xs
xsm
sm
md
lg

เริ่มนับหนึ่งเจรจาภาษีสหรัฐฯ ไทยยื่น 5 ข้อมุ่งเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจ พ่วงเพิ่มนำเข้า ลดภาษี สกัดแอบอ้าง ขยายลงทุน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นับตั้งแต่สหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีตอบโต้รายประเทศ (Reciprocal Tariffs) กับประเทศคู่ค้าตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. 2568 จากนั้นได้ชะลอออกไปเป็นเวลา 90 วัน แต่ยังเก็บภาษีขั้นต่ำทุกประเทศ 10% และในระหว่างนี้ได้เปิดโอกาสให้คู่ค้าแต่ละประเทศยื่นข้อเสนอเพื่อเจรจากับสหรัฐฯ โดยมีเวลาก่อนที่จะถึงเส้นตายวันที่ 9 ก.ค. 2568 หากเจรจาไม่สำเร็จก็จะถูกเรียกเก็บภาษีตามที่ได้เคยประกาศไว้ ขณะที่ไทย ได้เริ่มต้นนับหนึ่งเจรจากับสหรัฐฯ แล้ว มีการรับข้อเสนอและยื่นข้อเสนอกันแล้ว เหลือแค่รอลุ้นผลว่าจะเป็นบวกหรือเป็นลบกับไทย

ทั้งนี้ ในส่วนของไทย ถูกสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่อัตรา 36% สูงเป็นลำดับที่ 5 เมื่อเทียบกับประเทศอาเซียนอื่น โดยประเทศที่โดนภาษีสูงสุดคือ กัมพูชา 49% รองลงมาคือ สปป.ลาว 48% เวียดนาม 46% เมียนมา 44% และไทย 36% ขณะที่อินโดนีเซีย 32% มาเลเซีย 24% บรูไน 24% ฟิลิปปินส์ 17% และสิงคโปร์ 10% และเมื่อดูคู่ค้าสำคัญของไทย เช่น จีน โดน 34% อินเดีย 26% เกาหลีใต้ 25% ญี่ปุ่น 24%

ไทยเตรียมความพร้อมรับมือล่วงหน้า

ที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้เตรียมการรับมือนโยบายการค้าสหรัฐฯ ตั้งแต่ทราบว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 หรือที่เรียกกันว่ายุคทรัมป์ 2.0 โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เซ็นคำสั่งวันที่ 6 ม.ค. 2568 แต่งตั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯ มีนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน

จากนั้นนายวุฒิไกรได้ร่วมกับหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และผู้บริหารภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อกำหนดแนวทางเตรียมความพร้อมของไทยต่อนโยบายการค้าสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ผ่านการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ ในมิติต่างๆ


อยู่ดีๆ ก็มีลุ้น แต่สุดท้ายเหมือนเดิม

อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่สหรัฐฯ ได้ชะลอการเก็บภาษีไป 90 วัน อยู่ดีๆ ศาลการค้าระหว่างประเทศ (The Court of International Trade : CIT) ของสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งให้ระงับมาตรการทางภาษีที่บังคับใช้ภายใต้อำนาจของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) โดยศาลวินิจฉัยว่าฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ใช้อำนาจเกินขอบเขตที่รัฐธรรมนูญกำหนด โดยคำสั่งดังกล่าวครอบคลุมถึงมาตรการภาษีต่อจีน แคนาดา และเม็กซิโกในประเด็นสารเสพติดเฟนทานิล และมาตรการภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) กับคู่ค้าทั่วโลก

ทำให้หลายประเทศมีลุ้นว่าภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บจะต้องถูกยกเลิกไป แต่สุดท้ายแล้ว ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ (U.S. Court of Appeals for the Federal Circuit : CAFC) ได้อนุมัติคำขอฉุกเฉินของรัฐบาลสหรัฐฯ ให้คงมาตรการทางภาษีไว้ชั่วคราว ทำให้มาตรการทางภาษีของฝ่ายบริหารยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปจนกว่าศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ จะพิจารณาการอุทธรณ์แล้วเสร็จ โดยกระบวนการพิจารณาในชั้นศาลอุทธรณ์คาดว่าจะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 6-18 เดือน

ในประเด็นนี้ นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในอนาคตหากศาล CAFC มีคำตัดสินยืนตามศาล CIT ฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ยังคงมีเครื่องมือทางกฎหมายอื่นๆ ในการดำเนินมาตรการทางภาษีได้ เช่น มาตรา 301 (The Trade Act of 1974) ที่ให้อำนาจผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) สอบสวนและตอบโต้แนวปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของประเทศคู่ค้า มาตรา 232 (The Trade Expansion Act of 1962) ที่ให้อำนาจในการใช้มาตรการเพื่อปกป้องความมั่นคงของประเทศ และมาตรา 338 (The Tariff Act of 1930) ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีกำหนดภาษีศุลกากรสูงถึง 50% ต่อประเทศที่มีการเลือกปฏิบัติต่อสินค้าสหรัฐฯ แต่ต้องผ่านการตรวจสอบและได้รับรายงานจากคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USITC) ก่อน


“พิชัย” คุยสหรัฐฯ ทุกเวที

สำหรับการดำเนินการเจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐฯ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นแกนนำหลักในการเจรจากับสหรัฐฯ ในระดับรัฐมนตรี ได้เดินเกมรุกเดินสายพบปะกับสหรัฐฯ ในทันที เริ่มจากนำคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์เยือนกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 4-8 ก.พ. 2568 เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทยและสหรัฐฯ และหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ เช่น สมาชิกสภาคองเกรส รัฐมนตรี และภาคเอกชน เพื่อดูท่าทีและชี้แจงว่าไทยพร้อมร่วมมือกับสหรัฐฯ ในทุกๆ ด้าน

จากนั้นนายพิชัยได้กำชับให้ทีมพาณิชย์ คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯ เร่งหารือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน จัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายที่มุ่งส่งเสริม “ความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับสหรัฐฯ” จนได้ข้อสรุป และลงนามในข้อเสนอดังกล่าวและจัดส่งให้แก่ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2568 ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว และข้อเสนอนั้นยังได้รับการตอบรับที่ดีอย่างยิ่งจากนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ

ต่อมานายพิชัยได้มีโอกาสพบปะกับนายจามิสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ถึงสองครั้ง คือ ในเวทีประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปก เมื่อเดือน พ.ค. 2568 ณ จังหวัดเชจู สาธารณรัฐเกาหลี และการประชุมหารือระหว่างผู้บริหารระดับสูงด้านเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก OECD เมื่อต้นเดือน มิ.ย. 2568 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยได้ยืนยันถึงความพร้อมของไทยในการเจรจามาตรการภาษีการค้ากับสหรัฐฯ

“นายเจมิสันได้ขอบคุณที่ได้จัดส่งข้อเสนอเชิงนโยบายที่มุ่งส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐฯ และขอให้ส่งข้อมูลเพื่ออัปเดตการเจรจากันอย่างต่อเนื่อง พร้อมแสดงความมั่นใจว่าทั้งสองฝ่ายน่าจะได้นัดหมายเพื่อเจรจากันได้ในเร็ววัน และในที่สุด ก็ได้รับการตอบรับจากสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2568 ให้เริ่มต้นการเจรจาในระดับเทคนิค และจะได้นัดหารือกันต่อไป ผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อไม่ให้เสียเวลา” นายพิชัยกล่าว


เปิด 5 ข้อเสนอไทยลดขาดดุลการค้า

สำหรับข้อเสนอของไทยที่ได้เตรียมไว้สำหรับเจรจาสหรัฐฯ มีจำนวนทั้งสิ้น 5 ประเด็น โดยมีเป้าหมายหลักคือ จะลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ให้ได้ 50% ภายใน 5 ปี และส่งเสริมความร่วมมือเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐฯ ในทุกๆ ด้าน ประกอบด้วย

1. เป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-สหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมที่เกื้อหนุนกัน โดยจะส่งเสริมความร่วมมือธุรกิจอาหารแปรรูปไทย-สหรัฐฯ มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ด้วยการใช้จุดแข็ง 2 ประเทศร่วมกัน โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เพื่อเป็นวัตถุดิบแปรรูปและส่งออกไปตลาดโลก และหารือร่วมภาคเกษตรของสหรัฐฯ ที่เป็นฐานเสียงสำคัญทางการเมืองของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์

2. เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ที่ไทยจำเป็นต้องใช้ โดยมีแผนเพิ่มการนำเข้าสินค้าจำเป็น เช่น พลังงาน (น้ำมันดิบ, LNG, อีเทน), เครื่องบินและชิ้นส่วน, อาวุธยุทโธปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เกษตรอย่างข้าวโพด ถั่วเหลือง และเนื้อวัว เพื่อกระชับความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ และตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจในประเทศ

3. เปิดตลาดสาขาเกษตร โดยการปรับโครงสร้างภาษีนำเข้าและบริหารโควตาสินค้าเกษตร โดยจะมีการลดภาษีนำเข้าภายใต้ระบบ MFN จำนวน 11,000 รายการ ลง 14% รวมถึงการลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือ รวมทั้งจะลดโควตาและข้อจำกัดพร้อมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เช่น เชอรี่ แอปเปิ้ล ข้าวสาลี ข้าวโพด และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์

4. การบังคับใช้กฎหมายป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าของไทยเพื่อการส่งออกอย่างเคร่งครัด โดยจะเฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมายถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้าจากประเทศที่สามส่งออกผ่านไทยไปสหรัฐฯ โดยขณะนี้ มีสินค้าเป้าหมายที่เฝ้าระวังจำนวน 65 รายการ กว่า 200 พิกัดศุลกากร

5. ส่งเสริมการลงทุนของเอกชนไทยในสหรัฐฯ ภายใน 4 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน เช่น โครงการลงทุน LNG ในรัฐอลาสก้า และการลงทุนฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันเอกชนไทยลงทุนในสหรัฐฯ 70 แห่ง ใน 20 มลรัฐ สร้างงานมากกว่า 16,000 ตำแหน่ง มูลค่าการลงทุน 16,000 ล้านดอลลาร์


ไทย-สหรัฐฯ นับหนึ่งเจรจา

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะทีมเจรจาฝ่ายไทย เพื่อแก้ปัญหากรณีสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีตอบโต้กับประเทศคู่ค้า (Reciprocal Tariffs) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2568 เวลาประมาณ 07.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ตนและทีมประเทศไทยได้เริ่มต้นการเจรจากับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์เป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ หลังจากที่สหรัฐฯ ตอบรับที่จะเจรจากับไทย โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อรับฟังรายละเอียดข้อเสนอของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้ไทยพิจารณาในการแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้า ซึ่งสหรัฐฯ ได้ยื่นข้อเสนอจำนวน 5 ข้อมาให้ไทย เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2568 ที่ผ่านมา

โดยข้อเสนอทั้ง 5 ข้อเพื่อสร้างสมดุลทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศ ประกอบด้วย 1. มาตรการทางภาษีและโควตา 2. มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTB) 3. การค้าดิจิทัล (Digital Trade) 4. แหล่งกำเนิดสินค้า และ 5. ความมั่นคงภายในประเทศและด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ (Economic and National Security)

“ได้คุยกับผู้ช่วย USTR เป็นการทำความเข้าใจในรายละเอียดข้อเสนอที่สหรัฐฯ ส่งให้ไทย เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกัน และจากนี้จะนำข้อเสนอของสหรัฐฯ มาพิจารณา และจะจัดทำข้อเสนอของฝ่ายไทยที่สอดคล้องกับข้อเสนอของสหรัฐฯ และยื่นให้สหรัฐฯ พิจารณาในวันที่ 20 มิ.ย. 2568 โดยมั่นใจว่าข้อเสนอของไทย จะส่งผลในเชิงบวก และจะไม่ทำให้ไทยเสียเปรียบ แต่จะสร้างสมดุลทางการค้าของทั้งสองฝ่าย และจะเป็นการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของไทย” นายวุฒิไกรกล่าว

อย่างไรก็ตาม ก่อนการเจรจากับสหรัฐฯ ตนได้ลงนามร่วมกับผู้ช่วย USTR ในความตกลงการไม่เปิดเผยข้อมูลการเจรจา (Non-Disclosure Agreement) โดยกำหนดต้องไม่เปิดเผยข้อมูลการเจรจาเป็นเวลานาน 4 ปี และผู้ที่มีสิทธิจึงจะสามารถได้รับ Username และ Password ในการเข้าสู่ชั้นข้อมูลได้ ดังนั้น จึงจะไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดข้อมูลของการเจรจาได้


มั่นใจการเจรจาได้ผลเชิงบวก

นายวุฒิไกรกล่าวว่า ส่วนข้อเสนอของไทยที่จะยื่นให้สหรัฐฯ ในวันที่ 20 มิ.ย. 2568 จะมีความยาวประมาณ 3-4 หน้ากระดาษ A4 เป็นการขยายความ และเพิ่มรายละเอียดต่างๆ จากกรอบการเจรจาที่ไทยได้เคยยื่นให้สหรัฐฯ ไปแล้วก่อนหน้านี้ ที่มีเพียง 1 หน้ากระดาษ A4 โดยจะมีทั้งการลดภาษีนำเข้าในสินค้าบางรายการ การซื้อเครื่องบินโบอิ้ง อาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐ และการลดมาตรการ NTB เป็นต้น

สำหรับการประชุมครั้งนี้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และกระทรวงแรงงาน เป็นต้น

ทั้งนี้ ขั้นตอนหลังจากไทยยื่นข้อเสนอในวันที่ 20 มิ.ย.นี้แล้ว ต้องรอการนัดหมายจากสหรัฐฯ ต่อไป โดยมั่นใจว่าข้อเสนอของไทยจะมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้สหรัฐฯ พิจารณา และเปิดเจรจาในรายละเอียดกับไทยอีกครั้ง แต่หากเจรจาไม่ทันภายในกรอบระยะเวลา 90 วัน หรือวันที่ 8 ก.ค. 2568 เชื่อว่าสหรัฐฯ จะขยายเวลาออกไป โดยสิ่งที่คาดหวังจะได้จากการเจรจาครั้งนี้ ต้องยอมรับว่าเรื่องภาษี 0% คงเป็นไปไม่ได้ แต่อัตราภาษีไม่เกิน 10% มีความเป็นไปได้ แต่ก็ต้องรอดูผลต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น