xs
xsm
sm
md
lg

“พาณิชย์”ผนึกจังหวัดลุยนอมินี เช็ก 46,918 ธุรกิจเสี่ยง ตั้งเป้าจัดการให้สิ้นซาก พร้อมคุมเข้มถือครองที่ดิน-การตั้งบริษัทใหม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ทำการวิเคราะห์ แยกแยะ ธุรกิจที่มีคนต่างชาติถือหุ้นตั้งแต่ 0.001-49.99% ออกมาแล้ว พบว่า มีจำนวนมากถึง 111,892 บริษัท กระจายอยู่ในทุกกลุ่มธุรกิจ แต่หากเจาะลึกลงไปในธุรกิจเสี่ยง ที่มีคนต่างชาติแอบเข้ามาทำธุรกิจ หรือใช้คนไทยกระทำการแทน (นอมินี) จำนวนธุรกิจเสี่ยงลดลงเหลือ 46,918 บริษัท ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ ถือเป็นเป้าหมายหลักในการเข้าไปตรวจสอบว่ามีการดำเนินธุรกิจถูกต้องหรือไม่ เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการประกอบธุรกิจ และป้องกันธุรกิจของคนไทย ไม่ให้ได้รับผลกระทบ

โดยในการประชุมประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ที่มีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการมอบหมายให้คณะทำงานปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ที่มี ร.ต.จักรา ยอดมณี รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน และคณะทำงานระดับจังหวัด ที่มีรองผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งตรวจสอบธุรกิจที่มีความเสี่ยงเป็นนอมินี จำนวน 46,918 รายในทันที

ขีดเส้น 3 เดือนต้องรู้เรื่อง
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ได้พูดคุยกับปลัดกระทรวงมหาดไทยแล้ว ขอให้ตั้งคณะทำงาน ที่มีรองผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดเป้าหมาย เป็นประธาน เพื่อเข้าไปตรวจสอบบริษัทที่เสี่ยงเป็นนอมินี โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถ้าเป็นไปได้ภายใน 3 เดือน ต้องทำให้เสร็จสิ้น ยกเว้นจังหวัดที่มีนิติบุคคลมาก ก็ต้องมีรายงานผลการดำเนินการเข้ามา โดยตั้งเป้าหมายเพื่อจัดการล้างนอมินีเก่าทั้งหมด และเมื่อกวาดล้างหมดแล้ว ก็จะเป็นขั้นตอนการนอมินีที่จะเกิดขึ้นใหม่ ที่จะเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแล

ทั้งนี้ ยังได้มอบพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ประสานความร่วมมือกับ 9 ส่วนราชการในจังหวัดที่เป็นองค์ประกอบของคณะทำงานปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายระดับจังหวัด ที่มีรองผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และมีผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเป็นรองประธาน พาณิชย์จังหวัดเป็นเลขานุการ ร่วมกับหน่วยงานอื่นภายในจังหวัดเป็นคณะทำงาน ได้แก่ จัดหางานจังหวัด ที่ดินจังหวัด สรรพากรจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด ขนส่งจังหวัด ท่องเที่ยวจังหวัด และสาธารณสุขจังหวัด ดำเนินการตรวจสอบธุรกิจที่เสี่ยงเป็นนอมินีตามที่กำหนดไว้ และให้รายงานผลและความคืบหน้ามาให้คณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ที่มีนายพิชัย เป็นประธาน ทราบทุกเดือน


พุ่งเป้าจัดการธุรกิจเสี่ยง 46,918 ราย

โดยแนวทางการทำงาน กำหนดให้ลงพื้นที่ตรวจนิติบุคคลกลุ่มเสี่ยงที่มีชาวต่างชาติถือหุ้นตั้งแต่ 0.001-49.99% พุ่งเป้า 6 กลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มว่าชาวต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในไทยโดยใช้นอมินีจำนวน 46,918 ราย ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง 11,324 ราย คิดเป็น 24.14% ธุรกิจค้าที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ 26,038 ราย คิดเป็น 55.49% ธุรกิจ e-commerce ขนส่งและคลังสินค้า 3,252 ราย คิดเป็น 6.93% ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต 2,570 ราย คิดเป็น 5.48% ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการเกษตร (ล้ง) 1,220 ราย คิดเป็น 2.60% และธุรกิจก่อสร้างทั่วไป 2,514 ราย คิดเป็น 5.36%

ทั้งนี้ เมื่อเจาะลึกไประดับจังหวัด พบว่า จังหวัดที่มีต่างชาติถือหุ้น 0.001-49.99% จำนวน 10 อันดับแรก ได้แก่ ชลบุรี กรุงเทพฯ สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรปราการ ปทุมธานี นนทบุรี และระยอง และต่างชาติถือหุ้น 40-49.99% จำนวน 10 อันดับแรก ได้แก่ ชลบุรี กรุงเทพฯ สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ประจวบคีรีขันธ์ เชียงใหม่ สมุทรปราการ ระยอง ปทุมธานี และกระบี่

“ขอให้คณะทำงานปราบปรามนอมินีระดับจังหวัด ทำหน้าที่ตรวจสอบนิติบุคคลในพื้นที่ว่าดำเนินการจัดตั้งและประกอบธุรกิจโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ โดยเฉพาะตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 และให้หน่วยงานต่าง ๆ บังคับใช้กฎหมายที่ตัวเองดูแลอยู่อย่างเข้มงวด และให้ขยายผล สืบสวน สอบสวน และจับกุมผู้กระทำความผิดฐานเป็นนอมินี เพื่อให้การดำเนินงานที่เกิดขึ้นเห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนและสามารถป้องกันและป้องปรามนอมินีให้หมดไปจากประเทศโดยเร็ว”นายนภินทรกล่าว

สำหรับการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ใช้ พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 ตรวจสอบสินค้าปลอมและการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ตำรวจภูธรจังหวัด ใช้อำนาจในการจับกุม สืบสวน สอบสวน และดำเนินคดี ตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 และ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 สำนักงานจัดหางานจังหวัด ตรวจสอบคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบอาชีพต้องห้ามหรือทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือทำงานนอกเหนือสิทธิที่ทำได้ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ตรวจสอบภาษีย้อนหลังกับผู้กระทำความผิดและผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง สำนักงานที่ดินจังหวัด จำหน่ายที่ดินและดำเนินคดีคนต่างด้าวที่ได้ที่ดินมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือได้มาซึ่งที่ดินในฐานะตัวแทนคนต่างด้าว เป็นต้น


แผนต่อไปยึดทรัพย์พวกนอมินี

นายนภินทรกล่าวว่า ปัจจุบันกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) พิจารณายกร่างกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเพิ่มเติมให้คนไทยที่ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจกับคนต่างด้าว หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในธุรกิจที่อยู่ในบัญชีท้าย พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 หรือคนต่างด้าวที่ยอมให้คนไทยกระทำการแทนดังกล่าว ตามมาตรา 36 (ความผิดฐานนอมินี) และกรณีที่คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 37 เป็นความผิดมูลฐาน ตามร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่. ...) พ.ศ. ...

โดยการปรับแก้กฎหมายดังกล่าว จะนำไปสู่การยึด อายัดทรัพย์สิน ของผู้กระทำความผิด ทั้งที่เป็นคนไทยและคนต่างด้าว ให้ตกเป็นของแผ่นดิน เพื่อไม่ให้นำทรัพย์สินไปใช้ประโยชน์ หยุดยั้งการใช้บริษัทนอมินีและคนไทยเป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน สร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของระบบธุรกิจในประเทศไทย และป้องกันการใช้ช่องว่างทางกฎหมายในการกระทำความผิด

“ขณะนี้ ร่างกฎหมายได้เปิดรับฟังความคิดเห็นแล้ว กำลังจะนำความคิดเห็นที่ได้มาปรับปรุงร่างกฎหมาย เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว สำนักงาน ปปง. จะพิจารณาเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้พิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามลำดับถัดไป”นายนภินทรกล่าว


กำกับดูแลการถือครองที่ดิน

นายนภินทรกล่าวอีกว่า กระทรวงพาณิชย์ยังได้ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาการใช้คนไทยถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าว ระหว่างกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมที่ดิน เพราะปัจจุบันมีคนต่างด้าวเข้ามาถือครองที่ดินในไทย โดยให้คนไทยถือครองที่ดินแทน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของกฎหมาย และยังพบว่ามีการนำที่ดินไปใช้ประโยชน์ เช่น การประกอบธุรกิจที่ต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าว หรือธุรกิจที่คนไทยยังไม่พร้อมแข่งขัน ซึ่งเป็นการบิดเบือนกลไกตลาด ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ทั้ง 2 หน่วยงาน จึงได้มาร่วมมือกัน เพื่อปิดช่องโหว่ทางกฎหมาย และป้องกันไม่ให้คนต่างด้าวใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ทางกฎหมายเข้ามาถือครองที่ดิน

ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน คนต่างด้าวมักจะใช้การถือครองที่ดินในรูปแบบของนิติบุคคล โดยจัดตั้งนิติบุคคลขึ้นมา มีคนไทยเป็นเจ้าของบริษัท มีคนต่างด้าวเข้ามาถือหุ้น แล้วไปซื้อที่ดิน และนำที่ดินมาใช้ประโยชน์ประกอบธุรกิจต้องห้าม เช่น ธุรกิจเกษตร ธุรกิจที่พัก ธุรกิจขายอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมีผลกระทบทั้งต่อการประกอบธุรกิจของคนไทย และกระทบต่อความมั่นคงด้านที่ดิน

สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะส่งต่อรายชื่อนิติบุคคลเสี่ยงให้กับกรมที่ดิน ซึ่งขณะนี้มีการตรวจสอบแล้ว พบว่า มีนิติบุคคลที่เสี่ยงเป็นนอมินี จากการที่มีคนต่างด้าวเข้ามาถือหุ้นตั้งแต่ 0.001-49.99% ใน 6 ธุรกิจเสี่ยง จำนวน 46,918 ราย โดยในนี้เป็นธุรกิจค้าที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ จำนวน 26,038 ราย คิดเป็น 55.49% ของธุรกิจเสี่ยงทั้งหมด โดยจะส่งรายชื่อทั้งหมดให้กรมที่ดิน เพื่อพิจารณาประกอบการอนุญาตให้ถือครองที่ดิน และป้องกันไม่ให้คนต่างด้าวเข้ามาถือครองที่ดินต่อไป

ขณะเดียวกัน ทราบว่า กรมที่ดินกำลังพิจารณาเพิ่มโทษการถือครองที่ดินของคนต่างด้าว โดยเดิมมีโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท ซึ่งเป็นโทษตามกฎหมายเดิม ปี 2497 จะปรับให้มีความเข้มข้นและทันสมัยมากขึ้น และการที่ ปปง. กำลังยกร่างกฎหมายใหม่ ในการบรรจุฐานความผิดนอมินี เป็นความผิดมูลฐาน และเปิดช่องให้ยึดทรัพย์ได้ จะช่วยแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวถือครองที่ดินได้ดีขึ้น เพราะเดิมกรมที่ดินทำได้แค่บังคับขาย และนำเงินคืนคนต่างด้าวเท่านั้น แต่เมื่อกฎหมายบังคับใช้ หากตรวจสอบพบ สามารถยึดทรัพย์ได้เลย


เข้มต้นทางจดตั้งบริษัทใหม่

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กรมได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ หลังจากปัจจุบันพบการใช้ตัวแทนอำพราง (นอมินี) ในหลายประเภทธุรกิจ อาทิ ธุรกิจท่องเที่ยว บริการ อสังหาริมทรัพย์ และก่อสร้าง ซึ่งเป็นการช่วยเหลือ สนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว อันเป็นธุรกิจที่กำหนดไว้ในบัญชีท้าย ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และเกิดความไม่เป็นธรรมต่อผู้ประกอบการไทย จึงได้ยกร่างคำสั่งสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์และเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด ในกรณีมีคนต่างด้าวร่วมลงทุนหรือมีอำนาจลงนาม ให้ผู้มีส่วนได้เสียร่วมเสนอความคิดเห็น ทั้งผลดีและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้การจดทะเบียนมีความเหมาะสมและรัดกุมมากยิ่งขึ้น

สำหรับสาระสำคัญของร่างคำสั่ง มี 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.กรณีมีคนต่างด้าวร่วมลงทุนหรือมีอำนาจลงนามในห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด ให้ผู้ขอจดทะเบียนส่งเอกสารหลักฐานของผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นที่มีสัญชาติไทยทุกคนประกอบคำขอจดทะเบียน 2.กำหนดหลักฐานแหล่งที่มาของเงินลงทุนของผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนสัญชาติไทย ที่ต้องส่งประกอบคำขอจดทะเบียน อย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปนี้ คือ หนังสือรับรองฐานะการเงินจากธนาคาร สำเนารายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน แบบแสดงรายการภาษีเงินได้ (ภ.ง.ด.90, 91, 50 หรือ 51) และเอกสารอื่นที่แสดงแหล่งที่มาของเงินลงทุน

ทั้งนี้ ผู้มีส่วนได้เสีย และประชาชนทั่วไป สามารถร่วมแสดงความคิดเห็นได้ตั้งแต่วันนี้ - 20 มิ.ย.2568 ผ่าน 2 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ระบบกลางทางกฎหมาย www.law.go.th เลือกเมนู สถานะการรับฟัง >> เปิดรับฟัง >> กระทรวงพาณิชย์ >> กรมพัฒนาธุรกิจการค้า >> ร่างคำสั่งสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์และเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด กรณีมีคนต่างด้าวร่วมลงทุนหรือมีอำนาจลงนามในห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด เว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า www.dbd.go.th เลือกเมนู กฎหมาย >> แสดงความคิดเห็นร่างกฎหมาย >> แบบรับฟังความคิดเห็น พ.ศ.2568

“ภายหลังเสร็จสิ้นการรับฟังความคิดเห็นแล้ว กรมจะนำความคิดเห็นที่ได้รับมาพิจารณาประกอบการจัดทำร่างคำสั่งให้มีความเหมาะสม ครอบคลุม และสอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อป้องกันการใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายในการประกอบธุรกิจโดยไม่สุจริตต่อไป”นางอรมนกล่าว

ทั้งหมดนี้ คือ ความพยายามของกระทรวงพาณิชย์ ที่จะจัดการธุรกิจที่มีความเสี่ยงเป็นนอมินี และอาศัยช่องว่างของกฎหมาย เข้ามาทำธุรกิจที่เป็นของคนไทย โดยเป้าหมายแรก จะทำการเซตซีโร่ธุรกิจทั้งหมด จัดการนอมินีเดิมที่มีอยู่ให้หมดไป จากนั้น จะกำหนดกฎ กติกา มารยาทในการทำธุรกิจขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เข้มงวด รัดกุม เพื่อสกัดกั้นธุรกิจนอมินีที่จะแอบแฝงเข้ามาอีก ส่วนจะทำได้มากน้อยแค่ไหน จัดการธุรกิจนอมินีได้ตามเป้าหมายหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป




กำลังโหลดความคิดเห็น