- • กรมการค้าต่างประเทศรับข้อสั่งการนายกฯ เร่งควบคุมการนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า
- • จะร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย
- • ปฏิเสธข้อเสนอของกระทรวงศึกษาธิการเรื่องแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. การส่งออกไปนอกประเทศ เนื่องจากไม่เกี่ยวข้อง
กรมการค้าต่างประเทศรับข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี เดินหน้าคุมการนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนข้อเสนอของกระทรวงศึกษาธิการขอให้แต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกฯ ทำไม่ได้ เหตุเป็นเรื่องส่งออก-นำเข้า แนะใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก และกฎกระทรวงเพื่อจัดการปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษาแทน
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการปราบบุหรี่ไฟฟ้าตามข้อสั่งการของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า กระทรวงพาณิชย์มีกฎหมายที่ใช้ในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า คือ ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 และประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง สินค้าต้องห้ามนำผ่านราชอาณาจักร พ.ศ. 2559 ภายใต้ พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 ซึ่งปัจจุบันยังมีผลบังคับใช้ และยังได้ประชุมหารือมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และกรมควบคุมโรค เพื่อให้การบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายเป็นไปอย่างเข้มงวดและมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ หากพบการนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า ตามกฎหมายของกระทรวงพาณิชย์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงิน 5 เท่า ของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ และโทษตามกฎหมายของหน่วยงานอื่น เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ผู้ขายหรือผู้ให้บริการบารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ไฟฟ้า มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 กรณีรับบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งนำเข้ามาโดยไม่ผ่านด่านศุลกากร มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาของ หรือทั้งจำทั้งปรับ และ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าในเขตปลอดบุหรี่ มีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท
นางอารดากล่าวว่า ส่วนกรณีที่กระทรวงศึกษาธิการ เสนอให้กระทรวงพาณิชย์แต่งตั้งบุคลากรของกระทรวงศึกษาธิการเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกฯ เพื่อให้มีอำนาจในการตรวจค้นและยึดบุหรี่ไฟฟ้าจากนักเรียนนักศึกษา เพื่อให้สามารถควบคุมการระบาดในสถานศึกษา ขอชี้แจงว่า พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกฯ มีวัตถุประสงค์หลักในการบังคับใช้กับผู้ส่งออกนำเข้าสินค้า ไม่ครอบคลุมถึงการครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นของที่ผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายฉบับนี้ ยังต้องเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการค้าและการนำเข้าส่งออกสินค้า ซึ่งบุคลากรทางการศึกษาไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าว อีกทั้ง พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกฯ เป็นกฎหมายที่กำหนดโทษอาญาร้ายแรง โดยหากมีการบังคับใช้แล้ว จะต้องดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ซึ่งอาจนำไปสู่โทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับ 5 เท่าของมูลค่าสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงไม่สอดคล้องกับเจตนาของกระทรวงศึกษาธิการที่ไม่ต้องการดำเนินคดีทางอาญากับนักเรียนนักศึกษา ทำให้แนวทางการใช้กฎหมายฉบับนี้ ไม่เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียนและสถานศึกษา
“กระทรวงพาณิชย์เห็นควรผลักดันการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเด็กและนักเรียนโดยตรง ได้แก่ พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนแก้ไขกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548 และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการ โดยการแก้ไขกฎหมาย และกฎระเบียบดังกล่าวจะช่วยให้บุคลากรทางการศึกษาสามารถกำหนดมาตรการตรวจค้นและยึดบุหรี่ไฟฟ้า ตลอดจนกำหนดบทลงโทษนักเรียนนักศึกษาในสถานศึกษาได้อย่างเพียงพอเหมาะสม โดยไม่ต้องใช้กฎหมายที่มุ่งเน้นด้านการค้าระหว่างประเทศที่มีบทกำหนดโทษทางอาญาที่รุนแรง ซึ่งจะช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายมีความชัดเจนและสอดคล้องกับลักษณะของปัญหาที่เกิดขึ้นในสถาบันการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นางอารดากล่าว