xs
xsm
sm
md
lg

เช็กเลยกลุ่มไหนเป็นหนี้มาก หลัง “พาณิชย์” เปิดผลสำรวจภาระหนี้ล่าสุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

  • • ภาระหนี้สินของประชาชนดีขึ้นเล็กน้อยจากปี 2566
  • • กลุ่มที่มีหนี้มากสุด คือ พนักงานรัฐ เกษตรกร และพนักงานเอกชน ส่วนใหญ่มาจากการซื้อบ้านและรถยนต์
  • • หนี้นอกระบบลดลงเล็กน้อย
  • • ส่วนใหญ่กู้ยืมจากสถาบันการเงิน


สนค.เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับภาระหนี้สิน ดีขึ้นเล็กน้อยจากผลสำรวจปี 66 พบพนักงานรัฐ เกษตรกร พนักงานเอกชน เป็นกลุ่มที่มีหนี้มากสุด จากการซื้อบ้าน รถยนต์ โดยเป็นหนี้ในระบบมากสุด และหนี้นอกระบบลดลงเล็กน้อย เผยกู้ยืมจากสถาบันการเงินเป็นส่วนใหญ่ ตามด้วยกู้บัตรเครดิต สหกรณ์ พร้อมขอรัฐช่วยเหลือต่อเนื่อง เน้นลดดอกเบี้ย พักหนี้

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนจำนวน 6,291 ราย เกี่ยวกับภาระหนี้สินของประชาชนในปี 2567 ที่ผ่านมาว่า สถานการณ์หนี้สินของประชาชนดีขึ้นเล็กน้อยจากผลสำรวจปี 2566 และมีการลดลงของภาระหนี้นอกระบบ โดยกลุ่มอาชีพพนักงานของรัฐ เกษตรกร และพนักงานเอกชน เป็นกลุ่มอาชีพหลักที่มีสัดส่วนกลุ่มที่มีภาระหนี้มากที่สุด เช่นเดียวกับการสำรวจในรอบก่อนหน้า และผู้ตอบแบบสอบถามมีสัดส่วนความต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือในการลดอัตราดอกเบี้ยมากที่สุด

สำหรับรายละเอียดผลการสำรวจภาพรวมภาระหนี้สินของประชาชน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 50.99 มีภาระหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบลดลงร้อยละ 62.52 จากผลสำรวจปี 2566 เมื่อพิจารณาจำแนกตามกลุ่มอาชีพ พบว่า พนักงานของรัฐ เกษตรกร และพนักงานเอกชน เป็นกลุ่มอาชีพที่มีสัดส่วนการมีภาระหนี้มากที่สุด ที่ร้อยละ 68.18 ร้อยละ 57.16 และร้อยละ 53.15 ตามลำดับ สอดคล้องกับผลการสำรวจของปี 2566 ขณะที่กลุ่มนักศึกษาและผู้ไม่ได้ทำงานและเกษียณอายุมีสัดส่วนการมีภาระหนี้น้อยที่สุด ที่ร้อยละ 20.51 และร้อยละ 26.74 ตามลำดับ

ส่วนการจำแนกตามกลุ่มรายได้ พบว่า กลุ่มผู้มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการมีภาระหนี้สินมากที่สุด ที่ร้อยละ 81.25 รองลงมา คือ กลุ่มรายได้ระหว่าง 50,001-100,000 บาท ที่ร้อยละ 76.15 และกลุ่มรายได้ระหว่าง 40,001-50,000 บาท ที่ร้อยละ 62.96 ทั้งนี้ จากผลสำรวจมีข้อสังเกตว่ารายได้มีลักษณะแปรผันตรงกับสัดส่วนการมีภาระหนี้ หรือกล่าวคือกลุ่มที่มีรายได้สูงขึ้นจะมีสัดส่วนของผู้ที่มีภาระหนี้มากขึ้น

นายพูนพงษ์กล่าวว่า สาเหตุของการเกิดหนี้ในภาพรวม พบว่า การซื้อและผ่อนอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย และ ยานพาหนะ เป็นสาเหตุการเกิดภาระหนี้มากที่สุดที่ร้อยละ 27.47 รองลงมาคือ การเกิดภาระหนี้จากค่าใช้จ่ายประจำที่เพิ่มสูงขึ้น ที่ร้อยละ 25.56 และการเกิดภาระหนี้เพื่อการลงทุน ที่ร้อยละ 11.94 และเมื่อพิจารณาจำแนกตามกลุ่มอาชีพ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่ไม่ได้ทำงานและเกษียณอายุมีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่เพิ่มขึ้น เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดภาระหนี้มากที่สุด ซึ่งอาจสะท้อนถึงสถานการณ์เศรษฐกิจและค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน

โดยประเภทของหนี้สินในภาพรวม พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีภาระหนี้ มีสัดส่วนเป็นภาระหนี้ในระบบมากที่สุด ที่ร้อยละ 79.89 รองลงมาด้วยการมีภาระหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ ที่ร้อยละ 13.53 และสัดส่วนภาระหนี้นอกระบบ ที่ร้อยละ 6.58 ซึ่งลดลงเล็กน้อยจากผลการสำรวจในปี 2566 ที่ร้อยละ 7.19 เมื่อพิจารณาจำแนกตามกลุ่มอาชีพ พบว่า พนักงานของรัฐเป็นผู้มีสัดส่วนภาระหนี้ในระบบมากที่สุดที่ร้อยละ 90.37 รองลงมา คือ เจ้าของกิจการ และนักศึกษา ขณะที่เกษตรกรถือเป็นอาชีพที่มีสัดส่วนการมีหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบมากที่สุด ที่ร้อยละ 22.20 และอาชีพรับจ้างอิสระเป็นอาชีพที่มีสัดส่วนการมีภาระหนี้นอกระบบมากที่สุด ที่ร้อยละ 15.59 ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของกลุ่มอาชีพที่ไม่มีรายได้ที่ชัดเจนและแน่นอน และเมื่อพิจารณาจำแนกตามกลุ่มรายได้ พบว่า กลุ่มที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 20,000 บาท เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการมีภาระหนี้นอกระบบและภาระหนี้ในทั้งสองระบบมากที่สุด ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่ากึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม อาจสะท้อนถึงปัญหาภาระหนี้ที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้มีรายได้ไม่สูงมากนัก ซึ่งจำเป็นต้องหาแนวทางแก้ไขเพื่อบรรเทาภาระหนี้ของประชาชนกลุ่มดังกล่าว

สำหรับรูปแบบหนี้สินในภาพรวม พบว่า มีรูปแบบหนี้จากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินมากที่สุดที่ร้อยละ 28.90 ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน (ที่ร้อยละ 48.44) ตามมาด้วยหนี้บัตรเครดิต ที่ร้อยละ 24.45 และหนี้จากการกู้ยืมสหกรณ์ที่ร้อยละ 15.63 ขณะที่พนักงานเอกชนและกลุ่มผู้มีรายได้ต่อเดือน 40,001-50,000 บาท เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนหนี้จากบัตรเครดิตมากที่สุด และพนักงานของรัฐและผู้ไม่ได้ทำงานและเกษียณอายุมีสัดส่วนหนี้สินจากการกู้สหกรณ์มากที่สุด

โดยการชำระหนี้รายเดือน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีหนี้ในระบบที่ต้องชำระ ไม่เกิน 10,000 บาทมากที่สุด ที่ร้อยละ 56.79 รองลงมาคือ ชำระหนี้ 10,001-30,000 บาท ที่ร้อยละ 28.58 และชำระหนี้ 30,001-50,000 บาท ที่ร้อยละ 4.70 และในส่วนการชำระหนี้นอกระบบ มีผลการสำรวจสอดคล้องกัน กล่าวคือ ผู้ที่มีหนี้สินนอกระบบ มีการชำระหนี้รายเดือนไม่เกิน 10,000 มากที่สุด ที่ร้อยละ 23.69 รองลงมา คือ การชำระหนี้นอกระบบ 10,001-30,000 บาท และ 30,001-50,000 บาท ตามลำดับ

ทางด้านพฤติกรรมการปรับตัวจากผลกระทบของหนี้สินในภาพรวม พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามปรับตัวจากผลกระทบของหนี้ โดยวิธีการลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมากที่สุด ที่ร้อยละ 27.83 รองลงมา คือ การหารายได้เพิ่มที่ร้อยละ 22.23 และการไม่ก่อหนี้สินเพิ่มเติม ที่ร้อยละ 18.47 และด้านความช่วยเหลือที่ต้องการจากภาครัฐ ในภาพรวมผู้ตอบแบบสอบถามที่มีภาระหนี้มีความต้องการให้ภาครัฐออกมาตรการและนโยบายเพื่อช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาภาระหนี้สินของประชาชนโดยการลดอัตราดอกเบี้ยมากที่สุด ที่ร้อยละ 46.57 และรองลงมาคือ การพักหรือขยายเวลาการชำระหนี้ ที่ร้อยละ 33.21 ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของผู้ตอบแบบสอบถามในทุกกลุ่มอาชีพ อายุ และภูมิภาค ขณะที่ความต้องการลำดับถัดมา คือ การสร้างและส่งเสริมอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้ ที่ร้อยละ 15.21 โดยกลุ่มนักศึกษาและกลุ่มผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี มีสัดส่วนความต้องการให้มีการสร้างและส่งเสริมอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้มากที่สุด ที่ร้อยละ 45.45 และ ร้อยละ 31.17 ตามลำดับ

“ผลการสำรวจครั้งนี้ แม้สถานการณ์หนี้สินของประชาชนจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐที่อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาภาระหนี้สินของประชาชน โดยเห็นว่าภาครัฐต้องติดตามและดูแลปัญหาภาระหนี้สินของประชาชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินนโยบายและมาตรการที่เกี่ยวข้องมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนต่อไป ส่วนการลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือร้อยละ 2 ต่อปี จะช่วยบรรเทาภาระหนี้สิน ขณะที่กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพต่อเนื่อง ทั้งดูแลราคาสินค้า จัดลดราคาช่วงเทศกาล จัดงานธงฟ้าราคาประหยัด” นายพูนพงษ์กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น