xs
xsm
sm
md
lg

“พาณิชย์”เคาะ7มาตรการ25แผนงาน ดูแลผลไม้ปี 68 ตั้งเป้าช่วยขาย 9.5 แสนตัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปี 2567 ที่ผ่านมา สินค้าส่งออกที่น่าจับตารายการหนึ่ง ก็คือ ผลไม้ โดยเป็นสินค้าในกลุ่มเกษตรที่ทำเงินเข้าประเทศได้สูงถึง 231,401 ล้านบาท และยังเป็นสินค้าที่ส่งออกได้เป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มสินค้าเกษตร มีสัดส่วนสูงถึง 22.6% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด และในปี 2568 นี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงตั้งเป้าหมายให้ผลไม้ เป็นสินค้าเกษตรส่งออกอันดับหนึ่งต่อไป และเป็นอีกหนึ่งตัวที่ทำรายได้เข้าประเทศ สร้างความกินดีอยู่ดีให้กับพี่น้องเกษตรกรไทย

ปัจจัยที่ทำให้มั่นใจว่า ผลไม้ จะเป็นสินค้าเกษตรส่งออกอันดับหนึ่ง ก็คือ ผลไม้ไทย ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความนิยมของผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ทั้งในด้านคุณภาพมาตรฐาน ความหลากหลายของสายพันธุ์ และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ยังได้มีการเตรียมมาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2568 ไว้พร้อมแล้ว


“ทุเรียน”ส่งออกมากสุด 1.34 แสนล้าน

ในปี 2567 ที่ผ่านมา ทุเรียน มีปริมาณการส่งออก 859,183 ตัน มูลค่า 3,755.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (134,852 ล้านบาท) สัดส่วน 72.9% ของมูลค่าการส่งออกผลไม้สดทั้งหมดของไทย โดยตลาดส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.จีน สัดส่วน 97.4% ของมูลค่าการส่งออกทุเรียนสดของไทย 2.ฮ่องกง 1.3% 3.เกาหลีใต้ 0.3% 4.มาเลเซีย 0.2% และ 5.สหรัฐฯ 0.2%

ลำไย มีปริมาณการส่งออก 527,927 ตัน มูลค่า 571.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (19,698 ล้านบาท) ตลาดส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.จีน สัดส่วน 73.1% 2.อินโดนีเซีย 14.2% 3.เวียดนาม 6.7% 4.มาเลเซีย 1.5% และ 5.อินเดีย 1.0%

มังคุด มีปริมาณการส่งออก 284,860 ตัน มูลค่า 490.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (17,573 ล้านบาท) ตลาดส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.จีน สัดส่วน 91.0% 2.เวียดนาม 4.8% 3.เกาหลีใต้ 1.6% 4.สหรัฐฯ 0.5% และ 5.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 0.3%

มะพร้าวอ่อน มีปริมาณการส่งออก 257,428 ตัน มูลค่า 217.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (7,616 ล้านบาท) ตลาดส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.จีน สัดส่วน 82.7% 2.สหรัฐฯ 7.1% 3.ฮ่องกง 2.1% 4.สิงคโปร์ 1.6% และ 5.เนเธอร์แลนด์ 1.5%

มะม่วง ปริมาณการส่งออก 106,753 ตัน มูลค่า 133.09 ล้านเหรียญสหรัฐ (4,716 ล้านบาท) ตลาดส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.เกาหลีใต้ สัดส่วน 61.8% 2.มาเลเซีย 25.6% 3.ญี่ปุ่น 2.9% 4.เวียดนาม 2.8% และ 5.สปป.ลาว 0.8%


จีนเป็นตลาดหลักเกือบทุกผลไม้

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ปัจจุบันการส่งออกผลไม้สดของไทย พึ่งพาจีนเป็นตลาดหลัก ซึ่งไทยกำลังเผชิญการแข่งขันจากคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นในตลาดจีน เช่น ทุเรียนสด ไทยได้รับการอนุญาตให้นำเข้าจีนได้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2546 แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จีนเริ่มอนุญาตการนำเข้าทุเรียนสดจากเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย และยังมีเรื่องกฎระเบียบการนำเข้าของจีนที่มีความเข้มงวดมากขึ้น

ดังนั้น ไทยควรเร่งปรับตัวเพื่อที่จะรักษาส่วนแบ่งในตลาดจีนไว้ให้ได้ รวมถึงเร่งเจาะตลาดส่งออกใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะตลาดที่มีการนำเข้าผลไม้จากโลกในสัดส่วนสูงแต่ไทยยังมีส่วนแบ่งในตลาดนั้นไม่มาก เช่น สหรัฐฯ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดจีน และลดผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น

“แม้ว่าปีที่ผ่านมา การส่งออกผลไม้ของไทยในภาพรวมหดตัว เนื่องจากผลผลิตออกน้อย สาเหตุจากสภาพอากาศที่ร้อนแล้ง ส่งผลให้ผลผลิตผลไม้หลายชนิดลดลง และกระทบต่อการส่งออก แต่ผลไม้ก็ยังคงเป็นสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพ สามารถสร้างมูลค่าให้กับประเทศและรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างมาก ซึ่งนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีนโยบายดูแลสินค้าเกษตร เน้นย้ำให้หน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญกับการขยายตลาดในประเทศ ผลักดันการส่งออกไปสู่ตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ และการสนับสนุนการนำผลผลิตไปแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งได้มีการเตรียมมาตรการบริหารจัดการผลไม้เชิงรุกปี 2568 สำหรับดูแลผลผลิตฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะออกสู่ตลาดไว้แล้ว”นายพูนพงษ์กล่าว


นายกรัฐมนตรีสั่งเข้มห้ามราคาตก

ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 11 มี.ค.2568 ที่ผ่านมา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุมถึงรัฐมนตรี 5 กระทรวง ให้เตรียมความพร้อมมาตรการดูแลราคาผลไม้ ปีการผลิต 2568 ที่ผลผลิตกำลังจะเริ่มออกสู่ตลาด อย่าให้มีปัญหาด้านราคา หรือการจำหน่าย เพื่อดูแลพี่น้องเกษตรกรให้ขายผลผลิตได้ราคาดี

โดยขอให้กระทรวงพาณิชย์ เตรียมมาตรการรองรับการกระจายสินค้าออกจากแหล่งผลิต รวมทั้งการส่งเสริมการบริโภคผลไม้ภายในประเทศ และขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม เพื่อผลักดันการส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ มากขึ้น

กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาขยายระยะเวลาเปิด-ปิดด่านทางบก ที่เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านไปยังจีนให้สอดคล้องกับปริมาณและช่วงเวลาการขนส่งทุเรียน

กระทรวงคมนาคมหารือภาคเอกชนในการเตรียมความพร้อมและอำนวยความสะดวก ทั้งรถขนส่งสินค้าและตู้ขนส่งสินค้าให้เพียงพอ

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำกับดูแลการตรวจคุณภาพสินค้าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะสารแคดเมียมและสารสีเหลือง (Basic Yellow 2) ซึ่งทางประเทศจีนกำหนดให้ตรวจ 100% หากพบผู้กระทำความผิดให้ดำเนินการตามกฎหมายทันที

กระทรวงการต่างประเทศ ให้ทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศจีน ในการอำนวยความสะดวกการนำเข้าทุเรียนจากไทย เช่น การยอมรับการตรวจสอบของห้องแล็บในไทย ตั้งแต่ต้นทางโดยไม่ต้องตรวจซ้ำ เป็นต้น

ทั้งนี้ ขอให้หน่วยงานที่ในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้นำเอาข้อสั่งการไปปรับใช้กับสินค้าเกษตรชนิดอื่น ๆ เช่น มังคุด ลำไย ที่ผลผลิตจะทยอยออกสู่ตลาดในระยะต่อไปด้วย


คาดผลไม้ปี 68 เพิ่มขึ้น 15%

ต่อมาวันที่ 12 มี.ค.2568 กระทรวงพาณิชย์ โดยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้นัดประชุมขับเคลื่อนมาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2568 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อประเมินสถานการณ์ผลผลิต และมาตรการดูแลและรักษาเสถียรภาพราคาผลไม้ให้กับเกษตรกร

ในปี 2568 คาดว่า ผลผลิตผลไม้สำคัญ 9 ชนิด ได้แก่ ทุเรียน ลำไย มะม่วง สับปะรด มังคุด ส้มเขียวหวาน เงาะ ลองกอง และลิ้นจี่ จะมีผลผลิตประมาณ 6.736 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 15% โดยทุเรียนเพิ่มขึ้นมากสุด คาดว่าจะมีผลผลิต 1.767 ล้านตัน เพิ่ม 37% ลำไย 1.456 ล้านตัน เพิ่ม 1% มะม่วง 1.306 ล้านตัน เพิ่ม 10% สับปะรด 1.343 ล้านตัน เพิ่ม 17% และมังคุด 2.79 แสนตัน เพิ่ม 2% ทั้งนี้ ในส่วนของลำไย อาจจะต้องมีการประเมินผลผลิตอีกครั้ง คาดว่า จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็น 1.6-1.7 ล้านตัน เพิ่ม 10%

ทั้งนี้ ผลผลิตผลไม้ทั้งหมด แบ่งเป็นการบริโภคสด 65% และแปรรูป 35% เป็นการส่งออก 74% ในจำนวนนี้เป็นส่งออกแบบสด 62% และแปรรูป 38% และบริโภคในประเทศ 26% ในจำนวนนี้เป็นการบริโภคแบบสด 73% และแปรรูป 27%

โดยผลผลิตลำไย ส่งออกมากถึง 91% บริโภคในประเทศเพียง 10% มังคุดส่งออก 82% บริโภคในประเทศ 18% สับปะรด ส่งออก 78% บริโภคในประเทศ 22% ทุเรียน ส่งออก 75% บริโภคในประเทศ 25% ลิ้นจี่ ส่งออก 20% บริโภคในประเทศ 80% มะม่วง ส่งออก 16% บริโภคในประเทศ 84% ลองกอง ส่งออก 15% บริโภคในประเทศ 85% เงาะ ส่งออก 8% บริโภคในประเทศ 92% และส้ม ส่งออก 1% บริโภคในประเทศ 99%


“พาณิชย์”เคาะ 7 มาตรการ 25 แผนงาน

นายพิชัยกล่าวว่า ผลการประชุม ได้เห็นชอบมาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2568 จำนวน 7 มาตรการ 25 แผนงาน ซึ่งจะดำเนินการทันที ประกอบด้วย 1.มาตรการสร้างความเชื่อมั่นผลผลิต มี 4 แผนงาน ได้แก่ 1.เร่งตรวจและรับรองแปลง GAP 120,000 แปลง 2.Set Zero สร้างความเชื่อมั่นผลไม้ไทย 3.ตั้งวอร์รูมผลักดันการส่งออกผลไม้ไทย และ 4.ตั้งชุดเฉพาะกิจเจรจาจีน

2.มาตรการส่งเสริมตลาดในประเทศ มี 8 แผนงาน ได้แก่ 1.เชื่อมโยงตลาดล่วงหน้า 150,000 ตัน 2.กระจายออกนอกแหล่งผลิต 90,000 ตัน 3.สนับสนุนค่าบริหารจัดการผลไม้ระหว่างประเทศ 100,000 ตัน 4.จัดรณรงค์บริโภคผลไม้ (Thai Fruits Festival) 346,500 ตัน 5.สนับสนุนบรรจุภัณฑ์เพื่อการค้า Online-Offline 3,500 ตัน 6.โหลดผลไม้ขึ้นเครื่องฟรี 20 กิโลกรัม 100 ตัน 7.จัดกิจกรรม CSR (คนตัวใหญ่ช่วยคนตัวเล็ก) 40,000 ตัน และ 8.ยกระดับสร้างอัตลักษณ์ผลไม้ไทย (GI) 5 สินค้า

3.มาตรการส่งเสริมแปรรูปและปรับพื้นที่เกษตรให้เหมาะสม มี 2 แผนงาน ได้แก่ 1.แปรรูปผลไม้ในช่วงกระจุกตัวสูง เช่น ทุเรียน มะม่วง ลำไย 220,000 ตัน และ 2.สนับสนุนการปลูกพืชสวนแทนพืชไร่ เช่น กล้วยหอม มะพร้าวน้ำหอม


4.มาตรการส่งเสริมตลาดต่างประเทศ มี 4 แผนงาน ได้แก่ 1.มหกรรมการค้าชายแดน เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 3 ภาค 2.จับคู่ธุรกิจ เป้าหมาย 1,000 ล้านบาท 3.ส่งเสริมการขายในต่างประเทศ เป้าหมาย 254 ล้านบาท และ 4.ร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ เป้าหมาย 9,458 ล้านบาท

5.มาตรการยกระดับสินค้าผลไม้ไทย มี 3 แผนงาน ได้แก่ 1.ประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ 2.ผลักดันการใช้ประโยชน์จาก FTA เป้าหมาย 50 ล้านบาท และ 3.เจรจาผ่อนคลายมาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ

6.มาตรการแก้ไขอุปสรรคและอำนวยความสะดวกทางการค้า มี 2 แผนงาน ได้แก่ 1.ผ่อนปรนเคลื่อนย้ายแรงงาน 2.สนับสนุนการคัดแยก-ขนย้าย

7.มาตรการกฎหมาย มี 2 แผนงาน ได้แก่ 1.ปิดป้ายแสดงราคารับซื้อ 08.00 น. หรือทันทีที่เปิดรับซื้อ 2.การป้องกันและปราบปราม ภายใต้ 5 กฎหมาย คือ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ จะดูเรื่องในเรื่องการกดราคารับซื้อ และไม่ปิดป้ายแสดงราคา พ.ร.บ.ชั่งตวงวัด ดูแลเครื่องชั่ง พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า ป้องกันการฮั้วเอาเปรียบเกษตรกร ประมวลกฎหมายอาญา ดูแลเรื่องการหลอกลวง และพ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค ที่ดูแลเรื่องการหลอกลวงเช่นเดียวกัน

“ทั้ง 7 มาตรการ 25 แผนงานที่เคาะออกมานี้ จะถูกนำไปใช้เป็นมาตรการดูแลผลไม้ ปี 2568 ซึ่งเป็นการวางแผนการทำงานล่วงหน้า ก่อนที่ผลผลิตจะออกสู่ตลาด มีเป้าหมายช่วยระบายผลผลิต 950,000 แสนตัน โดยจะดำเนินการทันที เพื่อสร้างความคล่องตัว ไม่ว่าจะเป็นด้านตลาดรองรับ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีเป้าหมายที่จะเปิดทาง เคลียร์ทางให้สะดวกที่สุด และช่วยผลักดันให้ผลไม้ไทยมีราคาดีที่สุด เกษตรกรมีรายได้สูงสุด”นายพิชัยกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น