- • โครงการลงทุนรวมกว่า 60,400 ล้านบาท รัฐรับผิดชอบเวนคืนที่ดินและก่อสร้าง
- • มีการเปิดประมูล PPP สำหรับงานระบบและการบริหารจัดการ (OM) มูลค่า 27,000 ล้านบาท
- • คาดว่า ครม. จะอนุมัติโครงการเฟสแรก และเปิดให้บริการปี 2572
กทพ.เปิดฟังความเห็นนักลงทุนปรับแพคเกจทางด่วนจ.ภูเก็ต”กะทู้-ป่าตอง-เมืองใหม่-เกาะแก้ว”ดึงเอกชนรับสัมปทาน 30 ปี รัฐเวนคืน-ก่อสร้างกว่า 6.04 หมื่นล้าน เปิดPPP งานระบบและบริหาร O&M 2.7 หมื่นล้าน ลุ้นครม.เคาะสร้างเฟสแรกตั้งเป้าเปิดปี 72
วันที่ 7 มี.ค. 2568 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน (Opinion Hearing) งานศึกษาทบทวนความเหมาะสม และจัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 โครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงกะทู้-ป่าตอง และระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้ เพื่อนำความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนมาประกอบการจัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562
นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า กทพ. ได้ดำเนินโครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมทางถนน แก้ไขปัญหาการจราจร และอำนวยความสะดวกรวดเร็วในการเดินทางให้กับคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว ประกอบด้วยโครงการทางพิเศษ 2 ระยะ ได้แก่ โครงการระยะที่ 1 ช่วงกะทู้-ป่าตอง มีระยะทาง 3.98 กิโลเมตร(กม.) และโครงการระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้ มีระยะทาง 30.62 กม. รวมโครงการทั้ง 2 ระยะ มีระยะทาง 34.60 กม.
จากการศึกษาแนวทางการดำเนินโครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต โดยรัฐจะรับผิดชอบงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน กทพ. ดำเนินการออกแบบและก่อสร้างงานโยธา โครงการระยะที่ 1 ช่วงกะทู้-ป่าตอง และระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้ สำหรับการก่อสร้างงานระบบ และ เปิดโอกาสให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการ (PPP) การบริหารจัดการและบำรุงรักษา (Operation & Maintenance: O&M) ของโครงการทั้ง 2 ระยะ เช่น งานระบบจัดเก็บค่าผ่านทาง และระบบควบคุมจราจร เป็นต้น
นายสุรเชษฐ กล่าวว่า ตามแผนงาน โครงการระยะที่ 1 ช่วงกะทู้-ป่าตอง ขณะนี้ ได้เสนอไปที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) แลวโดยอยู่ในขั้นตอนสอบถามความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบันกระทรวงการคลังเห็นชอบ คาดว่าจะเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ ในปี 2568 และประมูลคัดเลือกผู้รับเหมา คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ปลายปี 2568 หรือต้นปี 2569 ใช้เวลาก่อสร้าง 4ปี แล้วเสร็จปลายปี 2572 เปิดให้บริการปี 2573
ส่วนโครงการระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้ จะเสนอขออนุมัติให้กทพ.ดำเนินโครงการ โดยจัดทำแบบรายละเอียด (Detail & Design) ปี 2568-2569 ก่อสร้างปี 2570-2572 (ใช้เวลา 3 ปี ) เปิดให้บริการปี 2573 ใกล้เคียงกับการเปิดให้บริการ ระยะที่ 1
ในขณะที่งานก่อสร้างระบบจัดเก็บค่าผ่านทาง ระบบควบคุมและบริหารจัดการจราจร ทั้ง 2 ระยะที่เป็นการร่วมลงทุนเอกชนนั้น คาดว่าจะเสนอโครงการตามขั้นตอน พ.ร.บ.การร่วมลงทุนฯ พ.ศ.2562 ในปี 2568-2569 ดำเนินการคัดเลือกเอกชน ในปี 2569-2571 เริ่มก่อสร้างระบบในปี 2571 ซึ่งจะพอดีกับงานโยธาและกำหนดเปิดให้บริการทั้ง 2 ระยะ ในปี 2573
@เปิด เอกชนร่วมทุน 2.7 หมื่นล้านบาท
โดยโครงการมีมูลค่าเงินลงทุนระยะที่ 1 ช่วงกะทู้-ป่าตอง รวมประมาณ 16,759 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 5,793 ล้านบาท , ค่าก่อสร้างงานโยธา 9,975 ล้านบาท, ค่าควบคุมงานก่อสร้าง 279 ล้านบาท และค่าก่อสร้างงานระบบจัดเก็บค่าผ่านทางและระบบควบคุมจราจร (งานระบบ) 712 ล้านบาท
โครงการ ระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้ รวมประมาณ 45,930 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 21,188 ล้านบาท , ค่าก่อสร้างงานโยธา 22,620 ล้านบาท, ค่าควบคุมงานก่อสร้าง 604 ล้านบาท และค่าก่อสร้างงานระบบจัดเก็บค่าผ่านทางและระบบควบคุมจราจร (งานระบบ) 1,518 ล้านบาท
ส่วนค่าดำเนินการและบำรุงรักษา (O&M) โครงการทั้ง 2 ระยะ (PPP เอกชนตลอดเวลา 30 ปี) รวมประมาณ 24,800 ล้านบาท และลงทุนค่าก่อสร้างงานระบบ 2 เฟส เป็น 27,030 ล้านบาท
@ ค่าผ่านทาง รถ 4 ล้อ วิ่งตลอดสายจ่าย 115 บาท
สำหรับการจัดเก็บค่าผ่านทางของโครงการระยะที่ 1 จัดเก็บค่าผ่านทางอัตราเดียว (Flat Rate) ซึ่งจะมีช่องทางสำหรับรถจักรยายนยนต์ด้วย มีอัตราค่าผ่านทาง ณ ปีเปิดให้บริการ (ปี 2573) เท่ากับ 15/ 40/ 85/ 125 บาท สำหรับรถจักรยานยนต์/ รถ 4 ล้อ/ รถ 6-10 ล้อ/ รถมากกว่า 10 ล้อ ตามลำดับ โดยปรับทุก 5 ปี ตามดัชนีผู้บริโภค (CPI) 2% ต่อปี โดยปีสุดท้าย ค่าผ่านทางจะอยู่ที่ 35/70/155/230 บาท สำหรับรถจักรยานยนต์/ รถ 4 ล้อ/ รถ 6-10 ล้อ/ รถมากกว่า 10 ล้อ ตามลำดับ
ส่วนโครงการระยะที่ 2 ไม่มีช่องทางจักรยานยนต์ จัดเก็บค่าผ่านทางตามระยะทาง (Distance-Based Rate) ซึ่งจะเป็นธรรมกับผู้ใช้ทาง โดยมีอัตราค่าแรกเข้า 40/ 80/ 120 บาท และค่าผ่านทางต่อระยะทาง 1.50/ 3.00/ 4.50 บาทต่อกิโลเมตร สำหรับรถ 4 ล้อ/ รถ 6-10 ล้อ/ รถมากกว่า 10 ล้อ ตามลำดับ โดยหากวิ่งระยะที่ 1- ระยะที่ 2 สำหรับรถ 4 ล้อ จ่ายค่าผ่านทาง 115 บาท
โดยคาดการณ์ ณ ปีเปิดให้บริการ (ปี 2573) มีปริมาณจราจร ประมาณ 69,386 คัน/วัน มีรายได้ 3.65 ล้านบาท/วัน และเติบโต จนถึงปีสุดท้าย (ปี 2603 ) มีปริมาณจราจร ประมาณ 205,926 คัน/วัน มีรายได้ 20.21 ล้านบาท/วัน
โครงการมีอัตราผลตอบแทนด้านการเงิน (FIRR) เท่ากับ 1.82% และโครงการนี้มีความเหมาะสมด้านเศรษฐกิจ อัตราผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ (EIRR) เท่ากับ 18.85%
@รัฐรับภาระเวนคืน-ก่อสร้างเองกว่า 6.04 หมื่นล. ดัน FIRR แตะ40%
โดยในช่วงถาม-ตอบ นักลงทุน มีข้อซักถามถึงรูปแบบการลงทุน และ FIRR 1.82% ที่ต่ำมาก โดยที่ปรึกษา ระบุว่า รูปแบบลงมุน อยู่ระหว่างการพิจารณา ระหว่าง PPP -Net Cost ( เอกชนรับสัมปทานจัดเก็บรายได้และจ่ายส่วนแบ่งให้รัฐ) ,PPP-Gross Cost (รัฐจัดเก็บรายได้และจ่ายค่าตอบแทนให้เอกชน) หรือ PPP-Modified Gross Cost (รัฐจัดเก็บรายได้และจ่ายค่าตอบแทนให้เอกชน และได้ค่าตอบแทนเพิ่มเติมตามเงื่อนไขเพื่อเป็นแรงจูงใจ) โดยในส่วนของกทพ.คาดว่ารูปแบบ PPP-Gross Cost ค่อนข้างเหมาะสม
ส่วน FIRR 1.82 % ที่ต่ำมากนั้น ที่ปรึกษาระบุว่า เป็นการประมูลค่าลงทุนทั้งโครงการ ทั้งค่าเวนคืน ค่าก่อสร้าง และงานระบบ มูลค่า 87,489 ล้านบาท แต่ในการประมูล PPP นั้นเพื่อเป็นการจูงใจเอกชน รัฐจะออกค่าเวนคืนและกทพ.ลงทุนค่าก่อสร้างงานโยธา ส่วนเอกชนจะลงทุนงานระบบ บำรุงรักษา (O&M) โครงการทั้ง 2 ระยะ (PPP ตลอดเวลา 30 ปี) รวมประมาณ 24,800 ล้านบาท โดยในช่วง 2 ปีแรก จะต้องเร่งก่อสร้างงานระบบของโครงการทั้ง 2 ระยะมูลค่ารวมประมาณ 2,230 ล้านบาทก่อน รวมมูลค่าร่วมลงทุนเอกชน 27,030 ล้านบาท ซึ่งเมื่อตัดค่าเวนคืนและค่าก่อสร้างงานโยธาออกจะทำให้ FIRR โครงการไปอยู่ที่ 40%
นายสุรเชษฐ กล่าวว่า การจัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากนักลงทุนภาคเอกชน เพื่อทราบถึงความสนใจของนักลงทุน และการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุน รวมถึงได้รับข้อมูลที่จำเป็นครบถ้วน ประกอบการจัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ทั้งนี้ โครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต นับเป็นทางเลือกในการเดินทางที่จะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรบนถนนเทพกระษัตรี (ทางหลวงหมายเลข 402) และถนนพระบารมี (ทางหลวงหมายเลข 4029) รวมทั้งเป็นการเพิ่มศักยภาพด้านการคมนาคมและแก้ไขปัญหาการจราจรในจังหวัดภูเก็ตให้เกิดความสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น