xs
xsm
sm
md
lg

BCP ฟุ้งปี 68 รายได้เติบโตต่อเนื่อง อัดงบลงทุน 5 หมื่นล้านรุกธุรกิจไฟฟ้าสีเขียว-E&P

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บางจากฯ ลั่นปี 68 รายได้และ EBITDA โตขึ้นต่อเนื่อง มาจากโรงกลั่นน้ำมันเดินเครื่องเพิ่มขึ้น ค่าการกลั่นสูงขึ้น และมีการขยายปั๊มน้ำมันเพิ่มอีก 100 แห่งดันยอดขายน้ำมันโต 5% และมาร์เกตแชร์ค้าปลีกน้ำมันขยับขึ้นแตะ 30% พร้อมอัดงบลงทุนปีนี้ 5 หมื่นล้านบาท เน้นธุรกิจไฟฟ้าสะอาด และธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทมั่นใจมีรายได้โตขึ้น 2 หลัก และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) มากกว่าปีก่อนที่มีรายได้รวม 589,877 ล้านบาท EBITDA 40,409 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,184 ล้านบาท หากค่าการกลั่นอยู่ที่ระดับปัจจุบันนี้ที่ 6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สูงกว่าปีก่อนที่อยู่ระดับ 3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากปีนี้โรงกลั่นน้ำมันพระโขนงไม่มีการปิดซ่อมเหมือนปีก่อนทำให้กลั่นน้ำมันได้เต็มที่ 1.2 แสนบาร์เรลต่อวัน รวมทั้ง 2 โรงกลั่นเพิ่มขึ้นมาอยู่ 2.8 แสนบาร์เรลต่อวันจากปีก่อนอยู่ที่ 2.58 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยบริษัทยังรับรู้รายได้จากการ Synergy ในกลุ่มบริษัทบางจากต่อเนื่อง


สำหรับธุรกิจการตลาด ในปีนี้บริษัทมีแผนขยายสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 100 แห่งจากปัจจุบันมีอยู่เกือบ 2,200 แห่ง เน้นเลือกทำเลตั้งสถานีบริการในจุดที่ไม่มีปั๊มน้ำมันบางจาก ทำให้ปี 2568 บางจากตั้งเป้ายอดขายน้ำมันเติบโตขึ้น 5% เป็น 1,210 ล้านลิตรต่อเดือน จากปีก่อนอยู่ที่ 1,150 ล้านลิตรต่อเดือน ดังนั้น บางจากได้ตั้งเป้าหมายมีส่วนแบ่งการตลาดค้าปลีกน้ำมันผ่านสถานีบริการเพิ่มขึ้นเป็น 30% จากปีก่อนอยู่ที่ 28.9% ส่วนยอดขายน้ำมันพรีเมียมก็มีปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นหลังจากบางจากได้มีการเพิ่มสถานีบริการที่ขายน้ำมันพรีเมียมขึ้นมาอยู่ที่ 50% ของจำนวนปั๊มรวม ทำให้มีมาร์เกตแชร์อยู่ที่ 13.7% โดยปีนี้จะเพิ่มจำนวนสถานีบริการเพื่อจำหน่ายน้ำมันพรีเมียมมากขึ้น

นอกจากนี้ยังออกผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นน้ำมัน B24 Marine Biofuel มีส่วนผสมของเมทิลเอสเทอร์ที่สังเคราะห์จากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วที่ระบุว่าเป็นของเสีย (UCOME) ในอัตราส่วน 24% ผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงกำมะถันต่ำ 0.5%S (VLSFO) ใช้สำหรับเรือเดินสมุทร ซึ่งขณะนี้มีสายการเดินเรือหลายรายสนใจซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพดังกล่าว

ส่วนความคืบหน้าโครงการผลิตน้ำมันอากาศยั่งยืน (SAF) ใช้วัตถุดิบจากน้ำมันใช้แล้วในครัวเรือน มีกำลังผลิต 1 ล้านลิตรต่อวัน เงินลงทุน 8,500 ล้านบาทนั้น การก่อสร้างคืบหน้ากว่า 90% คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 2/2568 ในแง่ตลาดมีความต้องการใช้ไม่น่าเป็นห่วง เนื่องจากปีนี้ยุโรปและอังกฤษประกาศให้สายการบินที่บินเข้ายุโรปจะต้องเติมน้ำมัน SAF ไม่น้อยกว่า 2% ส่วนปีหน้าสิงคโปร์จะบังคับให้สายการบินเติมน้ำมัน SAF 1% ส่วนประเทศไทยอยู่ระหว่างการกำหนดการใช้น้ำมัน SAF กับสายการบินที่เข้าไทยอยู่ ทำให้แนวโน้มความต้องการใช้ SAF มีมากขึ้นในอนาคต ซึ่งบางจากมีสัญญาซื้อขาย SAF คิดเป็น 60% ของกำลังการผลิต มีสัญญาซื้อขายแล้ว 2 ราย


“ในปี 2567 ปริมาณการขายและยอดขายน้ำมันเติบโตขึ้น แต่ถูกกดดันด้านราคา แต่ก็สามารถทำรายได้เกือบ 6 แสนล้านบาท และมี EBITDA แข็งแกร่งอยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท แม้ว่าค่าการกลั่นและราคาน้ำมันจะปรับลดลง แต่บริษัทมีกำไรจากการดำเนินการยืนอยู่ที่ 6,000 ล้านบาท”

ส่วนธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติคาดว่าปีนี้จะมีการผลิตและจำหน่ายปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น 3.6 หมื่นบาร์เรลต่อวัน เป็น 5 หมื่นบาร์เรลต่อวัน รวมทั้งบางจากแสวงหาโอกาสการลงทุนธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมายังภูมิภาคนี้ด้วย

สำหรับธุรกิจพลังงานสะอาด แม้ว่า บมจ.บีซีพีจี (BCPG) ได้ขายโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว แต่ BCPG มีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 2,000 เมกะวัตต์ คิดเป็น 50% ของกำลังผลิต โดยมีโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 872 เมกะวัตต์ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีนี้ 389 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังลมในเวียดนาม 99 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังลมในลาวที่ขายไฟฟ้าให้เวียดนาม 290 เมกะวัตต์ คาดว่า COD กลางปีนี้ ช่วยสร้าง EBITDA และกำไรให้บริษัทเพิ่มเติม

ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เตรียมเปิดโรงงานเทคโนโลยีชีวภาพ (CDMO) แห่งแรกในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ธุรกิจเอทานอล ในปีนี้ BBGI จะมีผลการดำเนินงานที่ดี เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบ (มันสำปะหลัง) ในการผลิตเอทานอลลดลง


สำหรับงบลงทุนในปี 2568 บางจากตั้งงบลงทุนอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาด 2 หมื่นล้านบาท และธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติอีก 2 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้สำหรับธุรกิจโรงกลั่นและเทรดดิ้ง 4,500 ล้านบาท ธุรกิจการตลาด 2,900 ล้านบาท ธุรกิจใหม่ 1,600 ล้านบาท และธุรกิจ Bio-based จำนวน 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนตามpipeline และการลงทุนซื้อหรือควบรวมกิจการ (M&A)


ส่วนการร่วมลงทุนโครงการเหมืองแร่โปแตซในพื้นที่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา บางจากถือหุ้นใหญ่ 65% จะใช้เงินลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น 4.5 พันล้านบาท โดยปีนี้จะใช้เงินลงทุนประมาณ 500ล้านบาท ซึ่งโครงการโปแตซมีกำลังผลิตรวม 434,000 ตันต่อปี ในเฟสแรก มีกำลังผลิต 134,000 แสนตัน คาดว่าจะ COD ในไตรมาส 4/2571 และเฟส 2 เพิ่มขึ้นอีก 300,000 ตันในปี 2572

นายชัยวัฒน์กล่าวว่า การปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มบริษัทบางจาก ผ่านการทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของ บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) (BSRC) ที่ถือโดยผู้ถือหุ้นรายอื่น ไม่เกินจำนวน 631,859,702 หุ้น (คิดเป็นร้อยละ 18.3 ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ BSRC) โดยแลกกับหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบางจากฯ (Share Swap) ด้วยอัตราการแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ที่ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนของบางจากฯ ต่อ 6.50 หุ้นสามัญของ BSRC ซึ่งจะเสนอขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นทั้ง 2 บริษัทในเดือน เม.ย. 2568 โดยจะทำเทนเดอร์ในเดือน ก.ย.-พ.ย. 2568 พร้อมทั้งประกาศแผนการเพิกถอนหุ้นของ BSRC จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คาดว่าธุรกรรมจะแล้วเสร็จในปลายปีนี้ ช่วยให้การ Synergy ทั้ง 2 บริษัททำได้เต็มที่ รวมถึงการบริหารจัดการด้านขนส่งมีประเสิทธิภาพเพิ่มขึ้น


กำลังโหลดความคิดเห็น