xs
xsm
sm
md
lg

ปตท.เร่งปรับโครงสร้างธุรกิจหนุนEBITDAโตขึ้น ยันPTTGC-TOP-IRPCไม่มีแผนควบรวมเน้นหาพาร์ทเนอร์ใหม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปตท.มั่นใจปีนี้มีผลการดำเนินงานดีขึ้น หลังเดินหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจฯเสริมความแข็งแกร่งภายในองค์กร หนุนEBITDAดีขึ้น พร้อมอัดงบลงทุนปีนี้ 2.5หมื่นล้านบาทเน้นลงทุนธุรกิจก๊าซฯและเทรดดิ้ง เมินการลงทุนโครงการใหญ่ ย้ำไม่มีแผนควบรวมกิจการบริษัทลูกในธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น แต่จะเร่งหาพาร์ทเนอร์ต่างชาติเสริมความแข็งแกร่งแทน โดยปตท.ยังถือหุ้นใหญ่อยู่

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่าในปี 2568 ปตท.ยังคงเผชิญความท้าทายรอบด้านทั้งปัจจัยภายในและภายนอก โดยเฉพาะความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายทางเศรษฐกิจและการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดังนั้นบริษัทฯจะเร่งสร้างความเข้มแข็งภายในองค์กร ลดความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยพิจารณาการลงทุนด้วยความระมัดะระวัง ซึ่งปตท.มุ่งเน้นในธุรกิจหลัก Hydrocarbon ที่ถนัด มีเชี่ยวชาญ และสร้างความมั่นคงทางพลังงานควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก ทำให้ปีนี้ปตท.มั่นใจว่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวม3,090,453 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 90,072 ล้านบาท

เนื่องจากในปี 2568 ปตท.มีแผนปรับโครงสร้างธุรกิจ Non -Hydrocarbon เสริมความแข็งแกร่ง ส่งผลให้มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA)เพิ่มมากขึ้นภายใน3ปีนี้ ได้แก่ โครงการ D1-Domestic Product Mgmt ตั้งเป้าEBITDA 3,300ล้านบาท/ปีภายใน 3ปี (เพิ่มมูลค่าต่อยอดจากโครงการP1) ,โครงการ Mission X -Operational Excellence ตั้งเป้ากลุ่มปตท.มีEBITDA Uplift ราว 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นของปตท.เอง 10,000 ล้านบาท และบริษัทในเครือ 20,000 ล้านบาท และDigital Transformation ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มขึ้น 2,000 ล้านบาทต่อปีภายในปี 2569 ซึ่งเม็ดเงินลงทุนปรับโครงสร้างธุรกิจดังกล่าวนี้จะใช้เงินลงทุนไม่มาก แต่สร้างความเข้มแข็งและให้ผลตอบแทนที่ดี

โดยปีนี้ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้น (Upstream) โดยเฉพาะปตท.สผ. มีปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น และมีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำ ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยจะปรับลดลง ส่วนธุรกิจก๊าซฯจะมีการจองใช้ท่อส่งก๊าซฯและLNG Terminal สูงขึ้น โรงแยกก๊าซฯมีการใช้อัตราการผลิตเพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนก๊าซฯคาดว่าสูงขึ้นด้วย ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลาย (Downstream) พบว่าธุรกิจปิโตรเคมียังได้รับแรงกดดันจากกำลังการผลิตล้นตลาด ทำให้สเปรดมาร์จินลดลง แต่การใช้อัตรากำลังการผลิตของโรงโอเลฟินส์เพิ่มสูงขึ้น ส่วนธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันคาดว่าปีนี้ ค่าการกลั่นจะปรับลดลงและการใช้อัตราการผลิตก็จะลดลงด้วย

ส่วนธุรกิจน้ำมันในปีนี้จะมีปริมาณการขายเพิ่มมากขึ้น ตามการขยายตัวของGDP ในประเทศ ธุรกิจLife Science ยังรักษาอัตราการเติบโตของปริมาณการขายยาในเอเชียและสหรัฐฯ สำหรับธุรกิจไฟฟ้า พบว่าปีนี้ความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศจะเติบโตขึ้น


ทั้งนี้ ปตท.ตั้งงบลงทุน 5ปีนี้(ปี 2568-2572) จะใช้เงินลงทุนประมาณ 50,000 ล้านบาท ในปีนี้ปตท.จะใช้งบลงทุนราว 25,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งโรงแยกก๊าซฯ เทอร์มินอล และธุรกิจเทรดดิ้ง ส่วนการลงทุนโครงการใหม่นั้น บริษัทจะพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่เน้นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ เพราะมีความเสี่ยงที่ตลาดจะเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้ แต่จะเน้นการลงทุนที่ใช้เงินลงทุนไม่สูงมากแต่ให้ผลตอบแทนที่ดี 

นอกจากนี้ ปตท.คาดว่าปีนี้จะมีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(NG)ใกล้เคียงปีก่อนที่ 10 ล้านตัน แม้ว่าจะมีบริษัทเอกชนที่ได้ใบอนุญาตในการนำเข้าLNG ทยอยนำเข้าLNG เพิ่มมากขึ้นก็ขึ้นตาม 

ส่วนความคืบหน้าในการหาพันธมิตรใหม่มาร่วมถือหุ้นในบริษัทลูกที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี ไม่ว่าจะเป็นบมจ.ไทยออยล์ (TOP) บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) และบมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) นั้นขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรต่างชาติที่สนใจ มีความก้าวหน้าและทิศทางที่ดี โดยปตท.จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ ขณะเดียวกันปตท.ยืนยันว่าไม่มีความคิดที่จะควบรวมกิจการระหว่างบริษัทในกลุ่มปตท.กันเองดังที่เป็นกระแสข่าว


นายคงกระพัน กล่าวต่อไปว่า ในปี 2567 ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ทั้งความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ การเติบโตเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ภาวะเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน ความกังวลต่อนโยบายทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา และแรงกดดันจากอุปสงค์ที่ลดลงและอุปทานที่มากเกินความต้องการในธุรกิจปิโตรเลียมและปิโตรเคมี โดยปีที่ผ่านมา ปตท. ดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ใหม่ที่กลับมาเน้นธุรกิจหลัก Hydrocarbon ที่ถนัดและเชี่ยวชาญ 

ทบทวนกลยุทธ์ Non-Hydrocarbon เน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้อง มี Synergy ในกลุ่ม ปตท. รวมถึงเน้นการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน บริหารต้นทุน ด้วยการทำ Operational Excellence ทั้งกลุ่ม ปตท. นำ digital มาใช้ ส่งผลให้ ปตท. และบริษัทย่อย ปี 2567 มีกำไรสุทธิ 90,072 ล้านบาท พร้อมจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2567 ที่ 2.10 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น 67%ของกำไรสุทธิ นับเป็นอัตราการจ่ายปันผลที่สูงที่สุด โดยเป็นอัตราผลตอบแทนที่ร้อยละ 6.6


“ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง เกิดจากบริหารจัดการและรวมพลังในองค์กร มีกำไรหลักมาจากธุรกิจ Upstream แม้ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาครัฐ มาชดเชยกับธุรกิจ Downstream ที่ได้รับความกดดันจากปัจจัยด้านราคา แต่เรื่องสำคัญคือการบริหารต้นทุน และควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งกลุ่ม ปตท. รวมถึงการบริหารรายการพิเศษและบริหารผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและเงินกู้ได้ดี”

ทั้งนี้ ในปี 2567 ธุรกิจ Hydrocarbon and Power ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่สร้างผลตอบแทนให้กับ ปตท. ประกอบด้วย ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ผ่านบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) โดย ปตท.สผ. สามารถปรับเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติโครงการ G1/61 (แหล่งเอราวัณ) จากอ่าวไทยสู่ระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และเข้าซื้อหุ้นร้อยละ 10 ในโครงการสัมปทานกาชา (Ghasha Concession Project) หนึ่งในแหล่งก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ธุรกิจLNG มีปริมาณการนำเข้า LNG ทั้งสัญญาระยะยาว และสัญญาแบบ Spot รวม 9.6 ล้านตันต่อปี เพื่อรองรับความต้องการพลังงานในประเทศ


ธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย สร้างมูลค่าเพิ่ม 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากความร่วมมือภายในกลุ่ม และโรงกลั่นได้ปรับการผลิตน้ำมันดีเซลให้ได้มาตรฐานยูโร 5 เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหามลพิษจากฝุ่น PM 2.5 ตามนโยบายของภาครัฐ ธุรกิจไฟฟ้า มีกำลังการผลิตเพิ่มเติม (อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) รวมทั้งหมด 15 GW โดยหลักมาจากการลงทุนพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ

สำหรับธุรกิจ Non-Hydrocarbon ได้ทบทวนกลยุทธ์ เน้นทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่ม ปตท. โดย EV ธุรกิจมุ่งเน้นการขยายสถานีชาร์จไฟฟ้าร่วมกับ OR ที่มีความพร้อมของ Ecosystem สำหรับ Life Science เป็นธุรกิจที่ดี แต่ต้องขับเคลื่อนได้ด้วยธุรกิจเอง self-funding มีผู้เชี่ยวชาญ ส่วนความคืบหน้าโครงการผลิตรถEV เนื่องจากไม่ใช่ธุรกิจที่ปตท.มีความเชี่ยวชาญดังนั้นจึงให้พาร์ทเนอร์ คือFoxconn เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 60%เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจต่อไป โดยปตท.ลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 40%

ปีที่ผ่านมารับรู้รายได้จากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท Alvogen Malta (Out-licensing) Holding Ltd. มูลค่า 4,500 ล้านบาท ของบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด สำหรับ Logistics ออกจากธุรกิจไม่สอดคล้องกับ ปตท. มุ่งเน้นที่สามารถต่อยอดและมี Synergy ภายในกลุ่ม ปตท.


กำลังโหลดความคิดเห็น