ส.อ.ท.เผยปีนี้ความต้องการใช้เหล็กภายในประเทศโตขึ้น3%ตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ ห่วงเหล็กจีนฮุบตลาดแทนที่ตกอยู่ในมือผู้ประกอบการไทย จี้รัฐเร่งออกมาตรการต่างๆเพื่อปกป้องอุตฯในประเทศด่วน
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มความต้องการใช้เหล็กของไทยในปี2568 ฟื้นตัวขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ในฐานต่ำมีปริมาณการใช้เหล็กในประเทศรวมไม่ถึง 16 ล้านตันต่อปี ดังนั้นในปีนี้ประเมินว่าปริมาณการใช้เหล็กในไทยจะโตขึ้น 3%จากปี2567ตามขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ
อย่างไรก็ดี ขอให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (AD/CVD) รวมถึงการตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (Anti-circumvention: AC) และมาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard Measure: SG) เพื่อให้ผู้ประกอบการผลิตเหล็กในประเทศได้ประโยชน์จากความต้องการใช้เหล็กที่เติบโตขึ้น แทนที่จะถูกสินค้าเหล็กนำเข้าจากจีนมาคว้าประโยชน์นี้ไป
ซึ่งแนวโน้มเหล็กจีนจะเข้ามาทุ่มตลาดในแถบอาเซียนรวมถึงไทยมากขึ้นหลังจากถูกกีดกันการนำเข้าจากสหรัฐฯ และยุโรป ล่าสุดอินเดียออกมาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard Measure: SG)กับสินค้าเหล็กจีน ขณะที่จีนก็มีการส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กมากถึง 105ล้านตันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี2567 โดยจีนหันมาส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กจีนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มมากขึ้น
ในปี2567 การบริโภคเหล็กในประเทศลดลงประมาณ 2%ประมาณ 15 ล้านกว่าตัน แต่โรงงานผลิตเหล็กในประเทศไทยมียอดการผลิตเหล็กลดลงถึง 7% เนื่องจากถูกสินค้าเหล็กนำเข้าจากจีนมาทุ่มตลาด แย่งส่วนแบ่งตลาดเหล็กภายในประเทศไป หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆจะทำให้โรงงานเหล็กในไทยต้องปิดตัวลง เหมือนกับโรงงานเหล็กกรุงเทพซึ่งเป็นโรงงานผลิตเหล็กรายแรกของไทยต้องปิดกิจการลงเนื่องจากประสบปัญหาการขาดทุน
นายนาวา ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยา สตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI กล่าวว่าในปีนี้ สหวิริยาฯ ตั้งเป้าหมายปริมาณการผลิตและจำหน่ายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนเติบโตขึ้น 10%จากปีก่อนที่ 1.02ล้านตัน/ปีมาอยู่ที่ 1.1 ล้านตัน แม้ว่าจะต้องเผชิญปัญหาเหล็กแผ่นรีดร้อนฯนำเข้าจากต่างประเทศมาทุ่มตลาด กดดันราคาเหล็กฯให้ต่ำลง ทำให้ในปีที่ผ่านมาบริษัทยังคงประสบปัญหาการขาดทุนอยู่