- • การเลื่อนมีผลดีต่อผู้ส่งออกไทย 7 สินค้า ได้แก่ วัว ไม้ ปาล์มน้ำมัน ถั่วเหลือง กาแฟ โกโก้ และยางพารา
- • ทั้งผู้ส่งออกรายใหญ่และรายเล็กได้รับประโยชน์จากการเลื่อนนี้
- • ผู้ส่งออกไทยมีเวลาเตรียมตัวปรับตัวให้เข้ากับมาตรการ EUDR เพิ่มขึ้น
กรมการค้าต่างประเทศแจ้งข่าวดี ผู้ส่งออก 7 สินค้า วัว ไม้ ปาล์มน้ำมัน ถั่วเหลือง กาแฟ โกโก้ และยางพารา หลังรัฐสภายุโรปเลื่อนการบังคับใช้มาตรการสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า ออกไป 12 เดือน ทั้งรายใหญ่ รายเล็ก คาดช่วยให้มีระยะเวลาปรับตัว มีความพร้อมในการปฏิบัติตามเงื่อนไข และไม่เป็นอุปสรรคต่อการค้า
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐสภายุโรปมีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาเปลี่ยนผ่านเพื่อบังคับใช้มาตรการสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation-free Products Regulation: EUDR) ของสหภาพยุโรป (อียู) ออกไปอีก 12 เดือน โดยผู้ประกอบการขนาดใหญ่ จากเดิมมีผลตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค. 2567 เปลี่ยนเป็นมีผลตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค. 2568 เป็นต้นไป และผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดเล็ก และรายย่อย จากเดิมมีผลตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย. 2568 เปลี่ยนเป็น มีผลตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย. 2569 เป็นต้นไป
สำหรับมาตรการ EUDR ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการซื้อสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงรับมือการแก้ไขปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่าทั่วโลก ทั้งที่เกิดจากการตัดไม้ทำลายป่าที่ผิดกฎหมายและจากการขยายตัวทางการเกษตร ซึ่งครอบคลุมสินค้าทั้งหมด 7 รายการ ได้แก่ วัว ไม้ ปาล์มน้ำมัน ถั่วเหลือง กาแฟ โกโก้ และยางพารา รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสินค้าดังกล่าว
ทั้งนี้ ล่าสุดอียูอยู่ระหว่างการประกาศข้อกำหนดเพื่อแก้ไขเพิ่มเติม EUDR ในส่วนของการขยายระยะเวลาบังคับใช้ในรัฐกิจจานุเบกษา (Official Journal) และดำเนินการปรับปรุงคู่มือการบังคับใช้ข้อกำหนด EUDR รวมถึงข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการปฏิบัติตามพันธกรณีของข้อกำหนด EUDR เพื่อให้มั่นใจว่ามาตรการดังกล่าวจะบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“การขยายระยะเวลาบังคับใช้ดังกล่าวจะเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ประกอบการไทยทั้งรายใหญ่และรายย่อยสามารถเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการจัดทำรายงานตรวจสอบย้อนกลับตามเงื่อนไขของอียูได้อย่างถูกต้อง ไม่เป็นอุปสรรคต่อการค้า” นางอารดากล่าว
มาตรการ EUDR เป็นมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Measures : NTMs) ที่อียูกำหนดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม (European Green Deal) เพื่อให้อียูสามารถเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน ซึ่งหลักเกณฑ์การพิจารณาประกอบด้วย 1. เป็นสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า 2. เป็นสินค้าที่ถูกผลิตขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมายของประเทศผู้ผลิต และ 3. เป็นสินค้าที่ผู้ผลิตและส่งออกมีการจัดทำ Due Diligence Statement