- • อัญมณีและเครื่องประดับ และผลิตภัณฑ์ยาง ติดอันดับสินค้าส่งออกดาวรุ่ง
- • กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร "ผลไม้กระป๋องและแปรรูป" เป็นสินค้าส่งออกดาวรุ่งอันดับหนึ่งของกลุ่ม
สนค.วิเคราะห์สินค้าส่งออกดาวรุ่งปี 2568 เผยกลุ่มอุตสาหกรรม “เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และชิ้นส่วน” มาแรงสุด ตามด้วยอัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ยาง ส่วนกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร “ผลไม้กระป๋องและแปรรูป” มาอันดับหนึ่ง ตามด้วยอาหารสัตว์เลี้ยง อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป มั่นใจแม้ปีนี้มีปัจจัยเสี่ยงส่งออกมาก แต่เชื่อการทำงานใกล้ชิดรัฐและเอกชนจะช่วยผลักดันส่งออกโตได้ 2-3%
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค.ได้ทำการวิเคราะห์แนวโน้มการส่งออกรายสินค้าด้วยอนุกรมเวลา (Time Series Model) พิจารณาควบคู่กับอัตราการเปลี่ยนแปลงหน่วยย่อยต่อภาพรวม (Contribution to growth) และสถานการณ์ที่จะกระทบต่อการค้าในอนาคต เพื่อค้นหาว่ากลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและกลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร 10 อันดับแรก มีสินค้าตัวไหน รายการไหนที่มีแนวโน้มเติบโตและขยายตัวได้ดีในปี 2568
โดยผลการวิเคราะห์พบว่า 10 สินค้าส่งออกอุตสาหกรรมที่จะเป็นดาวรุ่งในปี 2568 ได้แก่ 1. เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และชิ้นส่วน 2. อัญมณีและเครื่องประดับ 3. ผลิตภัณฑ์ยาง 4. เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 5. หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ 6. เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 7. เครื่องส่งวิทยุ โทรเลข โทรศัพท์ โทรทัศน์ 8. แผงสวิตช์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า 9. เคมีภัณฑ์ และ 10. แผงวงจรไฟฟ้า
ปัจจัยที่สนับสนุนการเป็นดาวรุ่ง คือ สินค้าเหล่านี้มีการฟื้นตัวตามวัฏจักรความเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยี AI อุปกรณ์อัจฉริยะที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น และความต้องการของภาคการผลิตที่เร่งตัวก่อนการดำเนินมาตรการทางการค้า และยังมีสินค้าอุตสาหกรรมของไทยที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต่อการปรับโครงสร้างการผลิตของไทย เช่น Data Center การผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เช่น แผ่นเวเฟอร์ (Wafer) หรือแผงวงจรไฟฟ้า (PCB) ยานยนต์ไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 ไทยมีกลุ่มสินค้าที่ต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากคาดว่าจะเป็นสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ได้แก่ กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ และโซลาร์เซลล์ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ทั้งไทยและจีนส่งออกไปยังสหรัฐฯ เหมือนกัน อีกทั้งเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูง โดยในช่วง 11 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-พ.ย.) การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมมีมูลค่า 217,233.2 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 78.8% ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมด
สำหรับ 10 สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ที่จะเป็นดาวรุ่งในปี 2568 ได้แก่ 1.ผลไม้กระป๋องและแปรรูป 2.อาหารสัตว์เลี้ยง 3.อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป 4.ไก่แปรรูป 5.ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ 6.ยางพารา 7.ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง 8.ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง 9.เนื้อและส่วนต่างๆ ของสัตว์ที่บริโภคได้ และ 10.นมและผลิตภัณฑ์นม
ปัจจัยที่ช่วยให้สินค้ากลุ่มนี้มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี มาจากความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารที่เติบโตสอดรับการบริโภคและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่อง ในขณะที่ปริมาณผลผลิตการเกษตรจะออกมากขึ้นกว่าปีก่อนหน้าและทยอยเข้าสู่ระดับปกติ ทำให้การแข่งขันด้านราคาสำหรับสินค้าเกษตรที่เป็น Raw Material แข่งขันรุนแรงขึ้น และการยกเลิกมาตรการระงับการส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศผู้ส่งออกสำคัญของโลก ซึ่งไทยต้องให้ความสำคัญต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เนื่องจากประเทศคู่แข่งมีผลผลิตและต้นทุนต่อไร่ที่ถูกกว่า อีกทั้งประเทศคู่ค้าบางประเทศมีมาตรการทางการค้าที่เข้มงวด โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ผู้ส่งออกของไทยต้องปรับตัวและบริหารจัดการต้นทุนเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ โดยในช่วง 11 เดือนของปี 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรมีมูลค่า 48,390.9 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 17.5% ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมด
นายพูนพงษ์กล่าวว่า ในปี 2568 การส่งออกยังคงเป็นเครื่องจักรสำคัญหลักในการผลักดันเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าโลก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และการแบ่งขั้วทางการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ความแปรปรวนของสภาพอากาศและภัยธรรมชาติ ปริมาณการค้าที่ขยายตัวลดลงจากการใช้นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มผันผวน
“แม้ในปีนี้จะมีปัจจัยท้าทายหลายอย่าง แต่เชื่อมั่นว่าจากการทำงานร่วมมืออย่างใกล้ชิดของกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน ที่ขับเคลื่อนตาม 10 นโยบายของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะช่วยให้ไทยสามารถคว้าโอกาสในการส่งออกและบรรลุตามเป้าการส่งออกที่ขยายตัว 2-3% คิดเป็นมูลค่าระหว่าง 305,315–308,308 ล้านเหรียญสหรัฐตามที่ตั้งเป้าเอาไว้ได้” นายพูนพงษ์กล่าว