- • ตอบรับเทรนด์โลกที่เน้นการปกป้องสิ่งแวดล้อมและลดก๊าซเรือนกระจก
- • ให้บริการคำปรึกษาด้านกฎหมายและกฎระเบียบแก่ธุรกิจและองค์กร
กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยธุรกิจที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมมีแนวโน้มเติบโตตามเทรนด์โลก ที่ให้ความสำคัญต่อการปกป้องสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ชี้จะเป็นธุรกิจที่คอยให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบธุรกิจและองค์กร ทั้งด้านกฎหมาย กฎระเบียบ แนวทางปฏิบัติ เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืน
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันทั่วโลกให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้คน อุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้นจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีผลต่อการเกษตร ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ภัยแล้ง น้ำท่วม ไฟป่า กระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และความเป็นอยู่ของผู้คน ทำให้ทั่วโลกให้ความสำคัญต่อการดูแลอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หลายประเทศรวมทั้งไทยได้เตรียม หรือมีการออกกฎระเบียบ มาตรการใหม่ๆ ที่ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อภาคธุรกิจมากขึ้น และมีโอกาสเติบโตตามกระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการออกกฎระเบียบเพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ทั้งนี้ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมจะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจและองค์กรสามารถดำเนินกิจการโดยคำนึงถึงความยั่งยืนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในหลายมิติ เช่น 1. การปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม กฎหมายจะช่วยให้ธุรกิจปฏิบัติตามข้อกำหนดได้อย่างถูกต้องและทันเวลา ลดความเสี่ยงต่อการเสียค่าปรับ หรือการถูกดำเนินคดีตามกฎหมายได้ 2. การประเมินและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จะช่วยวิเคราะห์และประเมินผลกระทบของการดำเนินงานขององค์กรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้น้ำ และการจัดการของเสีย เพื่อหาวิธีลดผลกระทบให้มากที่สุด ซึ่งเป็นการเพิ่มความยั่งยืนและลดการสร้างมลภาวะในกระบวนการผลิต 3. การสนับสนุนและพัฒนาโครงการเพื่อความยั่งยืน ช่วยให้องค์กรพัฒนาโครงการเพื่อความยั่งยืน เช่น การใช้พลังงานทดแทน การจัดการของเสีย หรือโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่องค์กร
4. การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิตและการลดคาร์บอน มีบทบาทในการช่วยองค์กรจัดการและซื้อขายคาร์บอนเครดิต รวมถึงการวางกลยุทธ์การลดคาร์บอนที่เหมาะสม การใช้คาร์บอนเครดิตอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการความเสี่ยง และค่าใช้จ่ายด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต 5. การบริหารความเสี่ยงจากปัจจัยสิ่งแวดล้อม การที่ธุรกิจต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขาดแคลนทรัพยากร หรือการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม ที่ปรึกษาสามารถให้คำแนะนำในการวางแผนรับมือและปรับกลยุทธ์เพื่อลดผลกระทบจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น 6. การสร้างภาพลักษณ์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดและมีความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บริโภคและคู่ค้าหันมาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
“จากความต้องการดังกล่าว ทำให้ธุรกิจที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมมีโอกาสเติบโต ขยายตัวได้สูง และเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่สำหรับผู้ที่ต้องการทำธุรกิจด้านนี้ แต่การทำธุรกิจต้องมีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่เกี่ยวข้องต่างๆ เช่น ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับกฎหมายในและระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยให้สามารถวางกลยุทธ์ได้อย่างถูกต้อง ความเชี่ยวชาญด้านกระบวนการผลิตและการพัฒนาสินค้า บริการ วัตถุดิบทดแทน และห่วงโซ่อุปทานที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ และความเชี่ยวชาญด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและผลกระทบภายหลังกระบวนการผลิต เช่น การบำบัดของเสีย การประเมินผลกระทบสังคม และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น เพื่อช่วยให้ผู้ที่เข้ามาใช้บริการมีความพร้อมรองรับสถานการณ์ทางธุรกิจและสามารถปรับตัวให้สามารถแข่งขันได้เพิ่มขึ้น” นางอรมนกล่าว
สำหรับการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2562-2566) มีจำนวนเฉลี่ย 49 ราย/ปี แบ่งเป็น ปี 2562 จัดตั้ง 44 ราย ทุน 84.61 ล้านบาท ปี 2563 จัดตั้ง 40 ราย (ลดลง 4 ราย หรือ 9.09%) ทุน 47.75 ล้านบาท (ลดลง 36.86 ล้านบาท หรือ 43.57%) ปี 2564 จัดตั้ง 41 ราย (เพิ่มขึ้น 1 ราย หรือ 2.50%) ทุน 81 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 33.25 ล้านบาท หรือ 69.64%) ปี 2565 จัดตั้ง 44 ราย (เพิ่มขึ้น 3 ราย หรือ 7.32%) ทุน 57.26 ล้านบาท (ลดลง 23.74 ล้านบาท หรือ 29.31%) ปี 2566 จัดตั้ง 76 ราย (เพิ่มขึ้น 32 ราย หรือ 72.73%) ทุน 303.39 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 246.13 ล้านบาท หรือ 429.85%) ช่วง 10 เดือน ปี 2567 (ม.ค.-ต.ค.) จัดตั้ง 78 ราย ทุน 159.46 ล้านบาท
โดยรายได้รวมของธุรกิจที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม 3 ปีย้อนหลัง (2564-2566) พบว่า ปี 2564 รายได้รวม 7,152.69 ล้านบาท ปี 2565 รายได้รวม 7,227.91 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 75.22 ล้านบาท หรือ 1.06%) ปี 2566 รายได้รวม 8,941.95 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1,714.04 ล้านบาท หรือ 23.72%) ขณะที่ผลประกอบการด้านกำไรขาดทุนรวมของธุรกิจ ปี 2564 กำไร 146.65 ล้านบาท ปี 2565 กำไร 375.99 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 229.34 ล้านบาท หรือ 156.39%) ปี 2566 กำไร 534.26 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 158.27 ล้านบาท หรือ 42.10%)
ด้านมูลค่าการลงทุนของต่างชาติที่ลงทุนในธุรกิจที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมในนิติบุคคลไทย ณ วันที่ 31 ต.ค. 2567 แบ่งเป็นมูลค่าการลงทุนโดยคนไทย 4,352.83 ล้านบาท สัดส่วน 77.23% และมูลค่าการลงทุนโดยชาวต่างชาติ 1,283.05 ล้านบาท สัดส่วน 22.77% โดยต่างชาติที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. ญี่ปุ่น 717.54 ล้านบาท สัดส่วน 55.92% 2. จีน 245.74 ล้านบาท สัดส่วน 19.15% และ 3. สหรัฐฯ 76.89 บาท สัดส่วน 5.99% ทั้ง 3 สัญชาติส่วนใหญ่เน้นลงทุนในธุรกิจวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิต และปรับปรุงสินค้าให้สอดคล้องกับแนวโน้มในอนาคต
ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 2567) มีนิติบุคคลที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมที่ดำเนินกิจการอยู่ 728 ราย ทุนรวม 5,635.88 ล้านบาท เป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) จำนวน 696 ราย สัดส่วน 95.60% ขนาดกลาง (M) 25 ราย สัดส่วน 3.43% และขนาดใหญ่ (L) 7 ราย สัดส่วน 0.96% ดำเนินกิจการในรูปแบบบริษัทจำกัด 698 ราย สัดส่วน 95.88% ทุน 5,605.43 ล้านบาท สัดส่วน 99.46% และห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 30 ราย สัดส่วน 4.12% ทุน 30.45 ล้านบาท สัดส่วน 0.54%
นิติบุคคลส่วนใหญ่ตั้งอยู่พื้นที่กรุงเทพมหานคร 359 ราย สัดส่วน 49.31% โดย 3 อันดับแรกตั้งอยู่เขตจตุจักร เขตบางรัก และเขตบึงกุ่ม รองลงมา ภาคกลาง 174 ราย สัดส่วน 23.90% 3 อันดับแรกตั้งอยู่ จ.นนทบุรี จ.ปทุมธานี และ จ.สมุทรปราการ ภาคตะวันออก 70 ราย สัดส่วน 9.62% 3 อันดับแรกตั้งอยู่ จ.ชลบุรี จ.ระยอง และ จ.นครนายก ภาคเหนือ 40 ราย สัดส่วน 5.50% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 39 ราย สัดส่วน 5.36% ภาคใต้ 38 ราย สัดส่วน 5.22% และภาคตะวันตก 8 ราย สัดส่วน 1.09%