กรมพัฒนาธุรกิจการค้ารับลูก “พิชัย-นภินทร” แชร์วิธีสังเกต ตรวจเช็กบริษัทที่จะร่วมลงทุน หรือร่วมทำธุรกิจ จำนวน 6 วิธี เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพหลอกลวงจนได้รับความเสียหาย หลังพบปัจจุบันมีการใช้หนังสือรับรองนิติบุคคลไปสร้างความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พร้อมย้ำการลงทุนใดๆ ต้องตรวจสอบ รอบคอบ หาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจนมั่นใจ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้กรมเร่งให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับวิธีการตรวจเช็กรายละเอียดธุรกิจที่ต้องการเข้าร่วมลงทุน เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นก่อนการตัดสินใจลงทุน เพราะปัจจุบันมีการนำหนังสือรับรองการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ และนำไปหลอกลวงประชาชนว่ามีการจัดตั้งเป็นบริษัท ก่อนทำการชักชวนให้เข้าร่วมลงทุน โดยเสนอผลตอบแทนที่สูง แต่ลงทุนต่ำ ซึ่งสร้างความเสียหายแก่ประชาชนเป็นอย่างมาก
สำหรับวิธีการตรวจสอบธุรกิจ ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากคลังข้อมูลธุรกิจของกรมที่ได้รวบรวมข้อมูลธุรกิจ (นิติบุคคล) ไว้มากที่สุด และเป็นคลังข้อมูลธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยให้บริการฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ สามารถเข้าค้นหารายละเอียดข้อมูลธุรกิจได้จากเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ www.dbd.go.th >> บริการออนไลน์ >> DBD DataWarehouse+ (คลังข้อมูลธุรกิจ) ค้นหาด้วยชื่อนิติบุคคล หรือเลขทะเบียนนิติบุคคล 13 หลัก
โดยขั้นตอนการตรวจรายละเอียดธุรกิจที่ต้องการร่วมลงทุนจะต้องดำเนินการทั้งสิ้น 6 วิธี ได้แก่ 1. ตรวจสอบความมีตัวตนของธุรกิจว่ามีตัวตนในการดำเนินธุรกิจจริงหรือไม่ โดยต้องมีชื่อนิติบุคคลอยู่ในคลังข้อมูลธุรกิจ 2. ตรวจสอบข้อมูลสถานะนิติบุคคลว่ายังดำเนินกิจการอยู่หรือไม่ 3. ตรวจสอบรายชื่อกรรมการว่าตรงกับข้อมูลธุรกิจที่จะร่วมลงทุนได้ให้ข้อมูลไว้หรือไม่ โดยเฉพาะบุคคลที่มาเชิญชวนให้เข้าร่วมลงทุน แต่กลับไม่มีชื่อเป็นกรรมการ หรือชื่อกรรมการเป็นใครก็ไม่รู้ ประเด็นนี้ควรตั้งข้อสังเกตถึงความน่าเชื่อถือของธุรกิจไว้ก่อน 4. ตรวจสอบว่าธุรกิจมีการนำส่งงบการเงินครบทุกปีหรือไม่ ตั้งแต่ปีที่เริ่มประกอบธุรกิจ หากพบว่าธุรกิจไม่เคยนำส่งงบการเงินเลย หรือส่งบ้างไม่ส่งบ้าง แสดงว่าธุรกิจดังกล่าวไม่มีความน่าเชื่อถือ เพราะงบการเงินเป็นสิ่งที่แสดงฐานะการเงินและความเป็นไปของธุรกิจ ให้ผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งลูกหนี้ เจ้าหนี้ และผู้ลงทุน ได้เห็นถึงสถานะของธุรกิจ อีกทั้งการนำส่งงบการเงินเป็นหน้าที่ของนิติบุคคลที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย 5. ตรวจสอบว่าประเภทธุรกิจตอนที่จดทะเบียนจัดตั้งกับตอนที่นำส่งงบการเงินถูกต้องตรงกันหรือไม่ หากไม่ตรงกันต้องตั้งข้อสังเกตถึงประเภทธุรกิจว่านิติบุคคลนี้ทำธุรกิจประเภทใดกันแน่ และ 6. ควรดูข้อมูลอัตราส่วนทางการเงิน เพื่อให้ทราบถึงสุขภาพทางการเงินของนิติบุคคลในมิติต่างๆ เช่น ความสามารถในการทำกำไร สภาพคล่อง ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน สินทรัพย์และหนี้สิน มีสัดส่วนอย่างไร โดยข้อมูลงบการเงินและข้อมูลอัตราส่วนทางการเงิน กรมให้บริการจากฐานข้อมูลงบการเงินที่นิติบุคคลนำส่งงบการเงินกับกรม และสามารถเลือกแสดงได้ว่าจะเปรียบเทียบข้อมูลในมิติไหน ระหว่างเปรียบเทียบนิติบุคคลเดียวกัน ในรอบ 5 ปีย้อนหลัง หรือเปรียบเทียบนิติบุคคลนั้นกับนิติบุคคลรายอื่นๆ ที่ประกอบธุรกิจเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม วิธีการตรวจเช็กรายละเอียดธุรกิจดังกล่าว เป็นเพียงองค์ประกอบเบื้องต้นในการตรวจสถานะของนิติบุคคล ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่ควรพิจารณาและแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม เพื่อมิให้ถูกหลอกลวงและเสียทรัพย์สินจำนวนมากจากการลงทุน ดังนั้น การศึกษาหาข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบก่อนตัดสินใจร่วมลงทุน จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำและมีความจำเป็นมากที่สุด เพราะปัจจุบันมิจฉาชีพมีวิธีการหลอกลวงที่มีความแนบเนียนมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้สถานะนิติบุคคล ซึ่งมีความน่าเชื่อถือมาหลอกล่อให้ประชาชนหลงเชื่อ และโอนเงินเข้าร่วมลงทุนหรือทำธุรกรรมอย่างหนึ่งอย่างใด ก่อนมารู้ทีหลังว่าบัญชีของนิติบุคคลที่โอนเงินไปนั้นเป็นบัญชีม้าของธุรกิจที่ไม่ได้มีการประกอบธุรกิจจริง นำมาซึ่งการสูญเสียทรัพย์สินเงินทองของประชาชน นับเป็นอาชญากรทางเศรษฐกิจที่ทำลายภาคการค้าการลงทุนของประเทศ รวมถึง บั่นทอนกำลังใจผู้ประกอบการที่ประกอบธุรกิจจริง ส่งผลให้นักลงทุนที่ต้องการเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจเกิดความหวาดระแวงและปฏิเสธการเข้าร่วมลงทุนในอนาคต
“กระทรวงพาณิชย์มีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากปัญหาที่เกิดขึ้น จึงขอเตือนภัย อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อ ลงทุนต่ำแต่ได้ผลตอบแทนสูง โดยใช้ความร่ำรวยและผลตอบแทนสูงมาจูงใจ โดยก่อนร่วมลงทุนกับใครควรรู้เขาให้ละเอียดก่อน และจะลงทุนทำธุรกิจทั้งที ต้องตรวจสอบธุรกิจที่จะร่วมลงทุนให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ” นางอรมนกล่าว