- 1. •*สุริยะ เปิดงาน GSTF 2024: ร่วมหารือพัฒนาด้านการขนส่งที่ยั่งยืนกับจีน
- 2. •*อัปเดตโครงการรถไฟความเร็วสูง: เร่งสร้างเฟสแรกตามแผน
- 3. •*กระชับความสัมพันธ์ไทย-จีนครบรอบ 50 ปี:
- 4. •*เชิญชวนจีนร่วมศึกษาสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขง: เชื่อม สปป.ลาว-ไทย ไร้รอยต่อ
"สุริยะ" เปิดงาน "GSTF 2024" ร่วมหารือการพัฒนาด้านการขนส่งที่ยั่งยืนระหว่าง 2 ประเทศ “ไทย-จีน” อัปเดตโปรเจกต์ไฮสปีด เร่งสร้างเฟสแรกให้เสร็จตามแผน กระชับความสัมพันธ์ครบรอบ 50 ปี พร้อมเชิญชวนจีนร่วมหนุนศึกษาสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขง เชื่อม สปป.ลาว-ไทย ไร้รอยต่อ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยในการเปิดงานประชุม Global Sustainable Transport Forum 2024 (GSTF 2024) ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2567 ว่า ปัจจุบันการพัฒนาการขนส่งอย่างยั่งยืนถือเป็นประเด็นสำคัญ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศส่งผลให้หลายประเทศต้องประสบกับปัญหาภัยพิบัติต่างๆ เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ไต้ฝุ่นยางิ ที่สร้างความเสียหายต่อมณฑลไห่หนานที่จีน ตลอดจนสถานการณ์น้ำท่วมทางตอนเหนือของไทย ทำให้บ้านเรือนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ได้รับความเสียหายอย่างมาก ทุกประเทศจึงควรตระหนักถึงความสำคัญของสภาพแวดล้อมเพื่อช่วยปกป้องทรัพยากรที่มีคุณค่า
นอกจากนี้ ในงานประชุมดังกล่าวยังกล่าวถึงความร่วมมือในโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-ลาว-จีน ซึ่งทั้งฝ่ายไทยและจีน เห็นพ้องต้องกันในการผลักดันให้โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-ลาว-จีน ประสบผลสำเร็จ ซึ่งขณะนี้รถไฟความเร็วสูงจากจีนตอนใต้ (คุนหมิง) ไปเวียงจันทน์ สปป.ลาว เปิดใช้งานมา 2 ปีแล้ว มีจำนวนผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากการเชื่อมต่อดังกล่าวสามารถเชื่อมต่อไปยังไทยได้จะเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ
@ ไฮสปีดไทย-จีน เฟสแรก คืบหน้า 35%
นายสุริยะกล่าวว่า ตนยังได้แจ้งให้ฝ่ายจีนทราบว่าโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 35% คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2571 และคาดว่าจะเริ่มโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ในปี 2568 ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีในการเฉลิมฉลองครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ครบ 50 ปี พร้อมกันนี้ ได้ขอให้รัฐบาลจีน พิจารณาให้ความช่วยเหลือการก่อสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงจาก สปป.ลาว มายังประเทศไทย เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อที่สมบูรณ์โดยเร็ว
@หวังจีนสร้างรถไฟเชื่อม สปป.ลาว-เชียงของ เติมเต็มโครงข่าย
ขณะที่เส้นทางการขนส่งสินค้าระบบรางทางจากเมืองโม่หาน ในจีน ผ่าน สปป.ลาว มายังอำเภอเชียงของ ภาคเหนือของไทย ยังมีเส้นทางส่วนที่ขาดอยู่ใน สปป.ลาว ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร (กม.) ซึ่งได้ขอให้รัฐบาลจีนพิจารณาก่อสร้างเส้นทางรถไฟทางคู่ เพื่อมาเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟทางคู่ของไทยที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างเส้นทางรถไฟเด่นชัย-เชียงของ คาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 4 ปีข้างหน้า เนื่องจากเส้นทางรถไฟจะเป็นประโยชน์ต่อการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะจากจีนตอนใต้ออกสู่มหาสมุทรอินเดีย ที่ท่าเรือระนอง
ส่วนในด้านการคมนาคมของไทยมียุทธศาสตร์ในการพัฒนาระบบการขนส่งที่มุ่งเน้นความสะดวกสบาย (Efficiency) ทั่วถึง (Inclusivity) ปลอดภัย (safe) และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (green) ผ่านการพัฒนาทางด้านนวัตกรรมที่ทันสมัย ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีด้านพลังงานที่สะอาด เช่น พลังงานทางเลือก การปรับเปลี่ยนช่องทางการขนส่งหลักจากถนนสู่ราง และการขนส่งทางน้ำ ในส่วนเขตเมืองมีการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนไปแล้วกว่า 554 กม. และอยู่ระหว่างก่อสร้างรถไฟฟ้าระบบทางคู่ เพื่อใช้เป็นช่องทางหลักในการขนส่งสินค้าเพื่อลดการปล่อยมลภาวะ รวมถึงจะร่วมมือกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิดในการส่งเสริมให้มีการใช้เรือไฟฟ้าในการคมนาคมขนส่งทางน้ำ อีกทั้งในฐานะประเทศที่ตั้งอยู่ในศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน กระทรวงคมนาคมมีนโยบายที่จะเชื่อมเส้นทางรถไฟของประเทศในภูมิภาคเข้าด้วยกัน
ด้าน นายเหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า ตนมีความประทับใจที่มีรัฐมนตรีด้านการขนส่งจากหลายประเทศมาเข้าร่วมการประชุม GSTF 2024 ในครั้งนี้ พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาด้านการขนส่งอย่างยั่งยืน ตามแนวทางเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (2030) หรือ SDGs เพื่อรับมือกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และด้านสภาพอากาศ ซึ่งต้องอาศัยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อให้รับมือได้อย่างเท่าทันสภาวะโลก จีนในฐานะประเทศที่ประสบความสำเร็จด้านการคมนาคมขนส่งจะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาผ่านการส่งเสริมความร่วมมือด้านการขนส่งที่ยั่งยืนระดับโลก
ในการประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้จีน และประเทศเพื่อนบ้านให้ความสำคัญต่อการพัฒนาด้านการขนส่งที่ยั่งยืน โดยยึดหลักการตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ หรือ UN (2030) เป็นโอกาสสำคัญที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และผู้แทนหน่วยงานด้านการคมนาคมขนส่งจากประเทศต่างๆ จะได้ร่วมกันผลักดันการพัฒนาด้านการขนส่งอย่างยั่งยืนอย่างจริงจัง ร่วมกันสร้างระบบการขนส่งชนบทที่เป็นธรรม ครอบคลุม และยั่งยืน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการเดินทางที่ปลอดภัยและสะดวกสบายสำหรับทุกคน
นอกจากนี้ ยังช่วยส่งเสริมการพัฒนาการขนส่งที่ขับเคลื่อนด้วย AI และสร้างเครื่องยนต์ใหม่สำหรับเศรษฐกิจระดับต่ำ (Low-altitude Economy) และเสริมสร้างความร่วมมือด้านการกำกับดูแลและการตอบสนอง ฉุกเฉิน รวมถึงการสร้างโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นระหว่างประเทศ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนทางระบบนิเวศ ก่อเกิดการพัฒนาพลังงานใหม่ที่จะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านสีเขียวและคาร์บอนต่ำในภาคการขนส่งระดับโลก
ขณะที่ นายอาซิฟ อาลี ซาร์ดารี (Mr. Asif Ali Zardari) ประธานาธิบดีสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน และ Mr. Bishnu Prasad Paudel รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล กล่าวว่า การพัฒนาด้านการขนส่งนั้นมีความสำคัญอย่างมากที่จะช่วยเหลือให้ประเทศกำลังพัฒนามีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และกระจายความเจริญสู่ชนบท การหารือในครั้งนี้จะมีส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานและการขนส่งในภูมิภาคให้มีความเชื่อมโยงระหว่างกัน และนำสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน
นายหลี่ จินหัว (Mr. li Junhua) ผู้ช่วยเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ กล่าวว่า ทุกประเทศได้พยายามผลักดันกันอย่างเต็มที่ในการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานทางเลือก ภายหลังการประชุม Cop 29 (2024 United Nation Climate Change Conference หรือ Conference of the Parties of the UNFCCC) ซึ่งมีสาระสำคัญและเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 35% ในปี 2030 และ 40% ในปี 2040 จากภาคอุตสาหกรรมและการขนส่ง ซึ่งองค์การสหประชาชาติต้องการผลักดันให้ทั้งรัฐภาคี ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน ตระหนักถึงความสำคัญและมีส่วนร่วมอย่างจริงจังจึงจะเกิดผลสำเร็จ