xs
xsm
sm
md
lg

กทพ.ปักธงปี 68 เปิด PPP ทางด่วน “ศรีนครินทร์-สุวรรณภูมิ” มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ลุยสร้าง 3 ปีแก้รถติด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

  • • กทพ.วางแผนเปิดประมูล PPP ปี 68: ร่วมลงทุนกับเอกชนก่อสร้างทางด่วน "ศรีนครินทร์-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ" มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท
  • • เป้าหมาย: แก้รถติด: เริ่มก่อสร้างปี 68 เปิดให้บริการปี 73 ก่อสร้าง 3 ปี
  • • ปรับแบบลดผลกระทบ: กทพ.อยู่ระหว่างสรุปแนวเส้นทางและปรับแบบก่อสร้างเพื่อลดผลกระทบจากการเวนคืน
  • • ชาวบ้านกังวลผลกระทบ: แสดงความกังวลเกี่ยวกับฝุ่น เสียง และปัญหารถติดในบริเวณแนวมอเตอร์เวย์


กทพ.ปักธงปี 68 เปิดประมูล PPP เอกชนร่วมลงทุนก่อสร้างทางด่วน “ศรีนครินทร์-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท เดินหน้าสรุปแนวก่อสร้าง ปรับรูปแบบลดผลกระทบเวนคืน แก้รถติด ก่อสร้าง 3 ปี เปิดบริการปี 73 ด้านชาวบ้านกังวลผลกระทบฝุ่น เสียง ปัญหาจราจรแนวมอเตอร์เวย์

วันที่ 26 กันยายน 2567 นายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี รองผู้ว่าการฝ่ายกลยุทธ์และแผนงาน การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เป็นประธานในการประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 3 (สรุปผลการศึกษาความเหมาะสมทางด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ การเงิน และผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการทางพิเศษสายศรีนครินทร์-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อประชาสัมพันธ์แนวเส้นทางที่เหมาะสมของโครงการ รูปแบบตำแหน่งทางยกระดับ จุดเริ่มต้น-จุดสิ้นสุดโครงการ รูปแบบโครงสร้างทางพิเศษ การออกแบบระบบระบายน้ำ รูปแบบและตำแหน่งระบบจัดเก็บค่าผ่านทางและเทคโนโลยีที่เหมาะสมและตำแหน่งที่มีผลกระทบการเวนคืน ผลการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม ร่างมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งร่วมแลกเปลี่ยนรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากประชาชน ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคารเจ ดับบลิว ทาวเวอร์

นายกาจผจญกล่าวว่า ที่ผ่านมา กทพ.และที่ปรึกษาได้นำเสนอแนวทางการศึกษาและขั้นตอนการศึกษาที่สำคัญ รวมทั้งนำเสนอแนวเส้นทางของโครงการพร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากประชาชน โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือนในการรวบรวมความเห็นและสรุปผลการศึกษา เพื่อนำเสนอขออนุมัติตามขั้นตอน โดยคาดว่าจะสรุปผลการศึกษาและจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ภายในปี 2567 จากนั้นจะขออนุมัติรายงาน EIA ในปี 2568 และเสนอโครงการตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน 2562 (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ปี 2562) หรือ PPP และเปิดประมูลคัดเลือกเอกชนในปี 2568-2570 ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ระหว่างปี 2569-2571 ก่อสร้างได้ในปี 2570 ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จ และเปิดให้บริการในปี 2573


โครงการมีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 20,710 ล้านบาท ประกอบด้วยค่าก่อสร้างเบื้องต้น 19,145 ล้านบาท ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 840 ล้านบาท ค่าออกแบบค่าควบคุมงานและค่าใช้จ่ายด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างก่อสร้างประมาณ 725 ล้านบาท คาดการณ์ปริมาณจราจรในปีเปิดให้บริการ (ปี 2573) ประมาณ 68,000 คัน/วัน และเพิ่มขึ้นเป็น 90,000 คัน/วันในปีที่ 30 คาดการณ์รายได้ 3,000 ล้านบาท/ปี กำหนดอัตราค่าผ่านทางในปีเปิดให้บริการสำหรับรถยนต์ 4 ล้อที่ 60 บาท รถ 6-10 ล้ออัตรา 90 บาท รถมากกว่า 10 ล้ออัตรา 120 บาท และปรับค่าผ่านทางทุกๆ 5 ปี สำหรับรถยนต์ 4 ล้อปรับขึ้น 5 บาท รถมากกว่า 6 ล้อปรับขึ้น 10 บาท รถมากกว่า 10 ล้อปรับขึ้น 15 บาท

โดยพบว่าผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจของโครงการ มีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับ 6,169.75 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ (EIRR) ร้อยละ 14.35 อัตราส่วนแบ่งผลประโยชน์ต่อทุน (B/C) 1.52 เท่ากำหนด


สำหรับโครงการทางพิเศษสายศรีนครินทร์-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะทาง 15.8 กิโลเมตร (กม.) จุดเริ่มต้นเป็นทางยกระดับสองฝั่งแบ่งทิศทาง (ไป-กลับ) ทิศทางละ 2 ช่องจราจร ตั้งอยู่บริเวณเกาะกลางระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 และทางบริการ ทั้งสองฝั่ง (ทิศเหนือ-ทิศใต้) เมื่อผ่านทางแยกต่างระดับศรีนครินทร์ ทางยกระดับด้านทิศเหนือจะเบี่ยงลงมารวมกับทางยกระดับด้านทิศใต้เป็นโครงสร้างทางยกระดับขนาด 4 ช่องจราจร เป็นระยะทางประมาณ 8.95 กม. ก่อนจะแยกโครงสร้างเป็นสองฝั่งของทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 บริเวณจุดตัดถนนร่มเกล้า และเข้าเชื่อมทางเข้า-ออกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จากนั้นเส้นทางหลักลดระดับลงบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 บริเวณหน้าสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

โดยมีการกำหนดจุดเข้า-ออกโครงการทั้งหมด 3 จุด ประกอบด้วย 1. จุดเริ่มต้นโครงการ (ทางแยกต่างระดับศรีนครินทร์) โดยมีทางขึ้น-ลง 4 ทิศทาง ได้แก่ (1) ทางลง Loop Ramp สำหรับรถที่มาจากลาดกระบังมุ่งหน้าไปรามคำแหง เพื่อเข้าเชื่อมถนนศรีนครินทร์ (2) ทางขึ้น Loop Ramp สำหรับรถที่มาจากพัฒนาการมุ่งหน้าไปลาดกระบัง เลี้ยวขวาเข้าเชื่อมทางพิเศษของโครงการในทิศขาออกเมือง (3) ทางลง Directional Ramp สำหรับรถที่มาจากลาดกระบัง เลี้ยวซ้ายเข้าเชื่อมถนนศรีนครินทร์ (4) ทางขึ้น Directional Ramp สำหรับรถที่มาจากรามคำแหงมุ่งหน้าไปลาดกระบัง เลี้ยวซ้ายเข้าเชื่อมทางพิเศษของโครงการ ในทิศขาออกเมือง


2. ทางเชื่อมเข้า-ออกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โครงสร้างจะแยกออกจากเส้นทางหลัก โดยมีทางเลี้ยวรูปแบบ Semi Directional Ramp ในทิศทางเลี้ยวขวาเข้าสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่วนทิศทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเลี้ยวซ้ายเข้าสู่โครงการไปทางพระราม 9 เป็นทางเลี้ยวรูปแบบ Directional Ramp ซึ่งในบริเวณนี้จะมีการเวนคืนพื้นที่ทั้งสองข้างทาง เพื่อก่อสร้างทางเชื่อมเข้า-ออกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

และ 3. จุดสิ้นสุดโครงการ (ตำแหน่งทางขึ้น-ลงลาดกระบัง) เมื่อผ่านจุดเชื่อมต่อท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แนวเส้นทางจะข้ามทางเข้า-ออก ICD ลาดกระบัง ก่อนจะกดระดับลงพื้น และผ่านด้านข้างของสะพานกลับรถเดิมก่อนจะเข้าเชื่อมกับทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 และมีการเวนคืนพื้นที่เพิ่มเติม เพื่อปรับทางบริการเดิมให้ขนานกับทางขึ้น-ลงของโครงการ รวมถึงออกแบบทางแยกในการเชื่อมต่อระหว่างทางขึ้น-ลงของโครงการและทางบริการให้ผู้ใช้ทางและประชาชนโดยรอบสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และถนนฉลองกรุง สามารถเข้า-ออกโครงการได้


สำหรับรูปแบบโครงสร้างทางพิเศษจะเป็นโครงสร้างสะพานคอนกรีตอัดแรงรูปกล่องคู่ชนิดหล่อสำเร็จ โดยตอม่อส่วนใหญ่เป็นเสาเดี่ยววางอยู่บริเวณร่องน้ำระหว่างทางขนานและทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ฐานรากโครงสร้างออกแบบเป็น Barrette Pile เพื่อลดขนาดของฐานรากให้อยู่ในบริเวณความกว้างของร่องน้ำ โดยเมื่อพัฒนาโครงการ การระบายน้ำระดับดินจากแนวร่องน้ำเดิมที่มีการวางเสาของโครงการแทนที่ได้ออกแบบให้ใช้รางระบายน้ำตัวยูวางบริเวณด้านข้างของเสาพร้อมทั้งปรับปรุงร่องระบายน้ำเดิมให้สามารถระบายน้ำได้ และใช้ท่อลอดพร้อมบ่อพัก โดยจะระบายออกตามความเหมาะสมของพื้นที่โครงการ มาลงบ่อพักระบายน้ำเดิมที่อยู่ใต้ทางเท้าหรือติดตั้งใหม่ เพื่อระบายน้ำออกไปยังด้านข้าง และระบายไปยังลำน้ำสาธารณะต่อไป

และใช้รูปแบบของระบบจัดเก็บค่าผ่านทางที่เหมาะสมเป็นแบบระบบเปิด โดยจัดเก็บค่าผ่านทางแบบใช้พนักงาน (Manual Toll Collector System : MTC) และแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Toll Collection System : ETC) ร่วมกัน โดยมีด่านเก็บค่าผ่านทางอยู่บนโครงสร้างทางยกระดับบริเวณทางแยกต่างระดับร่มเกล้า ประกอบด้วยฝั่งขาเข้า (มุ่งหน้าไปพระราม 9) จำนวน 8 ช่องจราจร และฝั่งขาออก (มุ่งหน้าไปลาดกระบัง) จำนวน 7 ช่องจราจร


สำหรับผลกระทบด้านการเวนคืน ที่ปรึกษาได้นำเสนอว่ามีการปรับรูปแบบเพื่อลดพื้นที่เวนคืนให้มากที่สุด เช่น การปรับลดเขตทางลงในบางช่วง โดยมีผู้ได้รับผลกระทบจากเดิม 99 ราย เหลือ 76 ราย ที่ดินจำนวน 143 แปลงเหลือ 111 แปลง สิ่งปลูกสร้าง จาก 76 หลังเหลือ 47 หลัง รวมที่ดินที่ได้รับผลกระทบประมาณ 43,743 ตารางเมตร

อย่างไรก็ตาม ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง โดยส่วนใหญ่ กังวลปัญหาในการก่อสร้าง ที่จะสร้างมลพิษ​ทางอากาศ ฝุ่นละอองและเสียงดัง รวมถึงการปิดกั้นพื้นที่ สร้างปัญหาจราจร และกระทบการเข้าออกชุมชน


กำลังโหลดความคิดเห็น