xs
xsm
sm
md
lg

ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ส.ค.ดิ่งหนัก เจอน้ำท่วมซ้ำค่าแรง 400 จ่อขึ้น จี้รัฐออกมาตรการเยียวยา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ส.อ.ท.ชี้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตฯ เดือนส.ค.ร่วงแตะ 87.7 เหตุกำลังซื้อหดตัว ต้นทุนการผลิตพุ่ง แถมโดนสินค้าราคาถูกจากจีนถล่มและน้ำท่วมซ้ำเติม จี้รัฐออกมาตรการเยียวยาภาคธุรกิจ ลดการจัดเก็บภาษีฯ รวมทั้งการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้ยึดมติคณะอนุกรรมการฯ อัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายจังหวัด

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 87.7 ปรับตัวลดลงจาก 89.3 ในเดือนกรกฎาคม 2567 โดยมีปัจจัยด้านลบจากอุปสงค์ในประเทศชะลอตัวลง โดยเฉพาะสินค้าคงทนประเภทรถยนต์ สะท้อนจากยอดขายรถยนต์ในประเทศ 7 เดือน (มกราคม-กรกฎาคม 2567) อยู่ที่ 354,421 คัน หดตัวร้อยละ 23.71 โดยเฉพาะรถกระบะและรถบรรทุก เนื่องจากความเข้มงวดในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน ขณะที่กำลังซื้อยังเปราะบางจากความกังวลเรื่องปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงถึงร้อยละ 90.8 ต่อ GDP ในไตรมาสที่ 2/2567 ซึ่งกดดันการบริโภคในประเทศ

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังเผชิญปัญหาต้นทุนการผลิตสูง ทั้งค่าไฟฟ้า ราคาวัตถุดิบ รวมถึงต้นทุนทางการเงิน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ รวมถึงปัญหาการทุ่มตลาดของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ทำให้สินค้าไทยไม่สามารถแข่งขันได้เนื่องจากมีต้นทุนที่สูงกว่า ส่งผลให้ยอดขายสินค้าลดลง


นายเกรียงไกรกล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางได้สร้างความเสียหายให้แก่ภาคเกษตรและอุตสาหกรรม รวมถึงส่งผลให้ภาคก่อสร้างชะลอตัวลง ในด้านการส่งออกอัตราค่าระวางเรือ (Freight) ยังอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในเส้นทางสหรัฐฯ และยุโรป จากการเร่งส่งออกของจีนและสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่รุนแรงขึ้น ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วจากระดับ 36.46 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนกรกฎาคม 2567 เป็น 34.92 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนสิงหาคม 2567 ส่งผลให้สินค้าไทยแพงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งและส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง

อย่างไรก็ตาม ในเดือนสิงหาคมยังมีปัจจัยบวกจากสถานการณ์ทางการเมืองที่คลี่คลายลง ทำให้นักลงทุนและผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นมากขึ้น และมีความคาดหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ รวมทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐก็ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง การท่องเที่ยว ยังเป็นแรงสนับสนุนการบริโภคในประเทศจากมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวของภาครัฐ มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8 เดือน (มกราคม-สิงหาคม 2567) มีจำนวน 23,567,850 คน ขยายตัวร้อยละ 31 สร้างรายได้เข้าประเทศมูลค่า 1,107,985 ล้านบาท


นายพิภพ โชควัฒนา กรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และรองประธานสายงานเศรษฐกิจและวิชาการ กล่าวว่า จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,330 ราย ครอบคลุม 46 กลุ่มอุตสาหกรรมของ ส.อ.ท.ในเดือนสิงหาคม 2567 พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจโลก ร้อยละ 67.5 เศรษฐกิจในประเทศ ร้อยละ 65.2 ราคาน้ำมัน ร้อยละ 61.3 อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐร้อยละ 40.6 ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ สถานการณ์การเมืองในประเทศ ร้อยละ 56.0 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ 45.8 ตามลำดับ

ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 93.9 ปรับตัวลดลงจาก 95.2 ในเดือนกรกฎาคม 2567 โดยมีปัจจัยที่ผู้ประกอบการยังห่วงกังวล ได้แก่ การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทต่อวัน จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs และอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น ปัญหาหนี้เสีย (NPL) มีแนวโน้มสูงขึ้น ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ยังยืดเยื้อและรุนแรงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาทในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 คาดว่าบรรยากาศการท่องเที่ยวจะกลับมาคึกคัก


นายเกรียงไกรกล่าวว่า ส.อ.ท.มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้คือ 1. เร่งประกาศและสร้างความชัดเจนในการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2567 อาทิ มาตรการเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน 

2. ปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าเพื่อเสริมสภาพคล่องในภาคอุตสาหกรรม และชะลอการเรียกเก็บเงินประกันการใช้ไฟฟ้าเพิ่ม กรณีค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในรอบปีสูงขึ้น รวมทั้งทบทวนลดเพดานวงเงินการประกันการใช้ไฟฟ้าให้เหมาะสม

3. ปรับปรุง พ.ร.บ.การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. 2542 เพื่อให้การบังคับใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (CVD) มาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (SG) และมาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยง (AC) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงลดระยะเวลาการพิจารณาไต่สวน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาสินค้าทุ่มตลาดเป็นไปอย่างรวดเร็ว

4. ออกมาตรการเยียวยาภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เช่น ยกเว้นภาษีนิติบุคคล ขยายเวลาการยื่นภาษี ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร รวมทั้งการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและระบบการบริหารจัดการน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยในระยะยาว

5. ให้ภาครัฐยึดมติคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายจังหวัด ในการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ แทนที่จะมีการปรับขึ้นค่าแรงทั่วประเทศ 400 บาทในต้นเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำต้องคำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจและปัจจัยที่ส่งผลกระทบในปัจจุบัน เพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำเติม SME จนไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้


กำลังโหลดความคิดเห็น